Friday, July 31, 2009

พิธีไว้อาลัยตาของอุ๋ย (คุณครูคริสตจักรเด็ก)


เนื่องจากคุณตาของอุ๋ย (คุณครูคริสตจักรเด็ก) ได้เสียชีวิตด้วยวัย 97 ปี
ทางอุ๋ยได้มีโอกาสนำคุณตารับเชื่อองค์พระเยซู และจะจัดพิธีไว้อาลัย ณ.วัดทุงลานนา แถวสวนหลวง ร.9
เพื่อประกาศให้กับพี่น้องและญาติๆในครอบครัว
เรียนผู้นำแจ้งให้สมาชิกในแขวงของท่านที่รู้จักอุ๋ย และขอเชิญท่านได้มีโอกาสหนุนน้ำใจอุ๋ยในงานไว้อาลัยครั้งนี้ด้วย
หากท่านใดต้องการข้อมูลการเดินทางไปที่วัด กรุณาติดต่อ คุณเล็ก (ธนโชติ) 086-78204330
งานจัดวันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม เวลา 17.00-19.00น.
มีทางไปได้ 2 ทาง
1. เส้นบางนา-ตราด
2. เส้นสวนหลวง ร.9 (ง่ายกว่า)

Wednesday, July 29, 2009

ฟื้นฟูชีวิตท่ามกลางอุปสรรคและปัญหา โดย อ.กนก

ฟื้นฟูชีวิตท่ามกลางอุปสรรคและปัญหา

อสย.40:27-31
โอ ยาโคบเอ๋ย ทำไมเจ้าจึงว่า โอ อิสราเอลเอ๋ย ทำไมจึงพูดว่า "ทางของข้าพเจ้าปิดบังไว้จากพระเจ้า และความยุติธรรมอันควรตกแก่ข้าพเจ้านั้นก็ผ่านพระเจ้าของข้าพเจ้าไปเสีย 28 ท่านไม่เคยรู้หรือ ท่านไม่เคยได้ยินหรือพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเนืองนิตย์ คือพระผู้สร้างที่สุดปลายแผ่นดินโลก พระองค์มิได้ทรงอ่อนเปลี้ย หรือเหน็ดเหนื่อย ความเข้าพระทัยของพระองค์ก็เหลือที่จะหยั่งรู้ได้ 29 พระองค์ประทานกำลังแก่คนอ่อนเปลี้ย และแก่ผู้ที่ไม่มีกำลัง พระองค์ทรงเพิ่มแรง 30 แม้คนหนุ่มๆ จะอ่อนเปลี้ยและเหน็ดเหนื่อย และชายฉกรรจ์จะล้มลงทีเดียว 31 แต่เขาทั้งหลายผู้รอคอยพระเจ้าจะเสริมเรี่ยวแรงใหม่ เขาจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี เขาจะวิ่งและไม่เหน็ดเหนื่อย เขาจะเดินและไม่อ่อนเปลี้ย

อสย.1:1 นิมิตของอิสยาห์บุตรชายของอามอส ซึ่งท่านได้เห็นเกี่ยวกับยูดาห์และเยรูซาเล็ม ในรัชกาลของอุสซียาห์ โยธาม อาหัส และเฮเซคียาห์พระราชาแห่งยูดาห์

อิสยาห์ได้รับใช้พระเจ้าด้วยการเผยพระวจนะในประเทศยูดาห์ หรืออิสราเอลใต้ ในรัชสมัยของกษัตริย์อุสซียาห์ โยธาม อาหัส และเฮเซคียาห์พระราชาแห่งยูดาห์ ประมาณ ศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล
อิสยาห์ตายในสมัยของกษัตริย์มนัสเสห์ ซึ่งเป็นกษัติย์ที่ชั่วร้ายและไม่ติดตามพระเจ้า อิสยาห์ได้ถูกประหารอย่างทนทุกข์ทรมานด้วยการถูกเลื่อยออกเป็นท่อนๆ

ฮบ.11:37 บางคนก็ถูกขว้างด้วยก้อนหิน บางคนก็ถูกเลื่อยเป็นท่อนๆ บางคนก็ถูกฆ่าด้วยคมดาบ บางคนก็นุ่งห่มหนังแกะหนังแพะพเนจรไป สิ้นเนื้อประดาตัว ตกระกำลำบากและถูกเคี่ยวเข็ญ

อิสยาห์รับการสนับสนุนอย่างมากในสมัยกษัตริย์โยธาม

2 พศด.27:6 โยธามจึงทรงมีกำลังมากขึ้น เพราะพระองค์ทรงหันไปดำเนินตามน้ำพระทัยของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพระองค์

2 พกษ.15:38 โยธามได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และได้ฝังไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ในนครดาวิด บรรพบุรุษของพระองค์ และอาหัสโอรสของพระองค์ขึ้นครอบครองแทน

2 พกษ.16:2 อาหัสมีพระชนมายุยี่สิบพรรษา เมื่อพระองค์ทรงเริ่มครอบครองและพระองค์ทรงครอบครองในกรุงเยรูซาเล็มสิบหกปี และพระองค์มิได้ทรงกระทำสิ่งที่ชอบในสายพระเนตรพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพระองค์ ดังดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ได้ทรงกระทำ

มัทธิว 26:3-4 ครั้งนั้นพวกมหาปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ของประชาชน ได้ประชุมกันที่สำนักของมหาปุโรหิตประจำการชื่อคายาฟาส ปรึกษากันเพื่อจะจับพระเยซูด้วยอุบายเอาไปฆ่าเสีย

มัทธิว 26:55 ขณะนั้นพระเยซูได้ตรัสกับหมู่ชนว่า "ท่านทั้งหลายเห็นเราเป็นโจรหรือ จึงถือดาบถือตะบองออกมาจับเรา เราได้นั่งสั่งสอนในบริเวณพระวิหารทุกวัน ท่านก็หาได้จับเราไม่

กจ.17:5-7 แต่พวกยิวก็อิจฉาไปคบคิดกับคนพาลตามตลาด รวบรวมกันมาเป็นอันมากก่อการจลาจลในบ้านเมือง เข้าบุกบ้านของยาโสน ตั้งใจจะพาท่านทั้งสองออกมาให้คนทั้งปวง ครั้นไม่พบ จึงฉุดลากยาโสนกับพวกพี่น้องบางคนไปหาเจ้าหน้าที่ผู้ครองเมือง ร้องว่า "คนเหล่านั้นที่เป็นพวกคว่ำโลกมนุษย์มาที่นี่ด้วย ยาโสนรับรองเขาไว้ และบรรดาคนเหล่านี้ได้กระทำผิดคำสั่งของซีซาร์ โดยเขาสอนว่ามีกษัตริย์อีกองค์หนึ่ง คือ พระเยซู"

มธ.3:12 พระหัตถ์ของพระองค์ถือพลั่วพร้อมแล้ว และจะทรงชำระลานข้าวของพระองค์ให้ทั่ว พระองค์จะทรงเก็บข้าวของพระองค์ไว้ในยุ้งฉาง แต่พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่รู้ดับ"

อิสยาห์ 39:6 ดูเถิด วันเวลากำลังย่างเข้ามา เมื่อสรรพสิ่งทั้งสิ้นในวังของเจ้า และสิ่งซึ่งบรรพบุรุษของเจ้าได้สะสมจนถึงทุกวันนี้จะต้องถูกเอาไปยังบาบิโลน จะไม่มีสิ่งใดเหลือเลย พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ

อิสยาห์ได้หนุนใจประชาชนว่า แม้จะรู้ว่าในอนาคตจะต้องถูกเนรเทศไปยังบาบิโลนก็ตาม แต่พระเจ้าจะปลดปล่อยประชากรของพระองค์อย่างแน่นอน และจะนำเขากลับมายังเยรูซาเล็ม ดังนั้นอย่าท้อใจ แต่ให้มีกำลังขึ้น
ผู้ที่รอคอยพระเจ้า พระองค์จะทรงเสริมเรี่ยวแรงขึ้นใหม่ เขาจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี เขาจะวิ่งและไม่เหน็ดเหนื่อย เขาจะเดินและไม่อ่อนเปลี้ย แม้อยู่ในปัญหาที่รุมเร้ามากมาย เขาจะมีกำลังขึ้นอย่างอัศจรรย์ เพราะไม่ใช่กำลังของเรา แต่เป็นโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์

ให้เราไว้วางใจในพระเจ้า ตระหนักถึงพระสัญญาของพระเจ้า มองปัญหาด้วยความไว้วางใจในพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยความรู้สึกของตัวเอง

ท่ามกลางอุปสรรคปัญหา ท่ามกลางความหวั่นไหวในใจกับสถานการณ์ที่กำลังจะเข้ามา เราจะมีชีวิตฟื้นฟูได้อย่างไร ให้เรามีโอกาสพิจารณาพระคัมภีร์ตอนนี้ด้วยกัน

ท่าทีของคนของพระเจ้าในการเผชิญปัญหาและยังรักษาชีวิตที่ฟื้นฟูนั้นเป็นอย่างไร

1.ไม่ต่อว่า แต่ไว้วางใจในพระเจ้า (27)

กจ.7:32 "เราเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของเจ้า คือพระเจ้าของอับราฮัม ของอิสอัคและของยาโคบ" โมเสสจึงกลัวจนตัวสั่นไม่อาจมองดู

ปฐก.32:28 บุรุษนั้นจึงว่า "เขาจะไม่เรียกเจ้าว่ายาโคบต่อไป แต่จะเรียกว่า อิสราเอล

มธ 10:30 ถึงผมของท่านทั้งหลาย ก็ทรงนับไว้แล้วทุกเส้น

ลก 11:13 เพราะฉะนั้นถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนบาปยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์ จะทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่ผู้ที่ขอต่อพระองค์"

ยน 10:14 เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี เรารู้จักแกะของเราและแกะของเราก็รู้จักเรา

รม 3:24 แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว

บางทีมนุษย์ก็ชอบมองอะไรเข้าข้างตัวเองอย่างเดียว เวลามีปัญหาก็ไม่ค่อยชอบโทษตัวเอง แต่ไปโทษผู้อื่นเสมอ

ฮบ 12:6-8 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก และเมื่อพระองค์ทรงรับผู้ใดเป็นบุตร พระองค์ก็ทรงตีสอนผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงรับและทนเอาเถอะเพราะเป็นการตีสอน พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อท่านในฐานะที่ท่านเป็นบุตรของพระองค์ ด้วยว่ามีบุตรคนใดเล่าที่บิดาไม่ได้ตีสอนเขาบ้าง แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่ได้ถูกตีสอนเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ท่านก็ไม่ได้เป็นบุตร แต่เป็นลูกที่ไม่มีพ่อ

1พกษ17:1 ฝ่ายเอลียาห์ชาวทิชบีผู้ซึ่งตั้งอาศัยอยู่ในกิเลอาด ได้ทูลอาหับว่า "พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลผู้ซึ่งข้าพระบาทปฏิบัติ ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด จะไม่มีน้ำค้างหรือฝนในปีเหล่านี้ นอกจากตามคำของข้าพระบาท

จะเป็นการตีสอนของพระเจ้า หรือเป็นอุปสรรคที่เข้ามาในชีวิต ให้เรารับด้วยท่าทีถูกต้อง หากเป็นการตีสอนก็ให้เรากลับใจ ไม่ไปต่อว่าพระเจ้าหรือคนอื่น หรือสถานการณ์ และหากเป็นอุปสรรคในชีวิตที่มาสร้างเรา ให้เรารับด้วยใจขอบพระคุณ เพราะเรารู้ว่าไม่ว่าจะเป็นการตีสอนหรืออุปสรรคในชขีวิตต่างก็เพื่อประโยชน์แก่เราทั้งสิ้น ให้เราขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี ไม่บ่นต่อว่า

2 ตระหนักถึงพระลักษณะพระเจ้า (28-29)

2 1) ทรงเป็นพระผู้สร้าง (The Creator)

2 2) ไม่ทรงอ่อนเพลียหรือเหน็ดเหนื่อย (Not Faint or weary)

2 3) ทรงสรรพัญญู (Omnipotent)

2 4) ทรงเป็นพระผู้ช่วย (Savior)

ความจริงปัญหาของมนุษย์ทุกคนคือความบาป ความบาปทำให้เราอ่อนกำลัง และโทษของความบาปคือความตายในนรกบึงไฟ
พระคัมภีร์บอกเราไว้ว่าใครที่บอกว่าตัวเองไม่มีบาป เขาก็กำลังหลอกลวงตนเอง

1ยน 1:8 ถ้าเราทั้งหลายจะว่าเราไม่มีบาป เราก็ลวงตนเอง และสัจจะไม่ได้อยู่ในเราเลย

มธ 5:3 บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา

ยน 20:27-29 แล้วพระองค์ตรัสกับโธมัสว่า "จงยื่นนิ้วมาที่นี่และดูมือของเรา จงยื่นมือออกคลำที่สีข้างของเรา อย่าขาดความเชื่อเลย จงเชื่อเถิด" โธมัสทูลพระองค์ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ และพระเจ้าของข้าพระองค์" พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เพราะท่านได้เห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ ผู้ที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข"

คนที่เข้าใจว่าพระเจ้าของเราเป็นอย่างไร เขาก็สามารถไว้ใจพระเจ้าได้ เพราะเขารู้ว่าแม้ในความยากลำบาก พระเจ้าก็ทรงอนุญาต และพระเจ้าทรงรักเรา “จะไม่มีสักครั้งที่พระเจ้าจะหวังร้ายกับเรา”

3.ตอบสนองพระเจ้าอย่างถูกต้อง (30-31)

3 1) มองอุปสรรคไม่ใช่ด้วยสายตาของเหตุและผล (30)

3 2) มีชีวิตที่ติดสนิทกับพระเจ้า (31)

ปญจ.4:12 แม้คนหนึ่งสู้คนเดียวได้ สองคนคงสู้เขาได้แน่ เชือกสามเกลียวจะขาดง่ายก็หามิได้

ยน.15:4 จงเข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน แขนงจะออกผลเองไม่ได้ นอกจากจะติดอยู่กับเถาฉันใด ท่านทั้งหลายก็จะเกิดผลไม่ได้ นอกจากจะเข้าสนิทอยู่ในเราฉันนั้น

ผลของการรอคอยพระเจ้าอย่างถูกต้อง คือการมีชีวิตที่ติดสนิทกับพระเจ้า

ก. รับการเสริมเรี่ยวแรงใหม่ (31ก)

ข. ดำเนินชีวิตอย่างแข็งแกร่งแม้เผชิญอุปสรรคปัญหา (31ข)

คนที่มีความหวังใจในพระเจ้า ชีวิตของเขาจะเต็มไปด้วยกำลัง และการฟื้นฟู จะไม่มีอะไรทำให้เขาท้อใจได้เพราะเขามั่นใจในพระเจ้า และพระเจ้าจะช่วยกู้เขาจากอุปสรรคปัญหา เขาจะมีกำลัง มีความแข็งแกร่งท่ามกลางอุปสรรคที่เข้ามาในชีวิต

Wednesday, July 22, 2009

ลักษณะคนที่พระเจ้าทรงอวยพร โดย อ.ประวัติ

ลักษณะคนที่พระเจ้าทรงอวยพร The Beatitudes
มธ. 5: 3-12
3 บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา 4 บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุขเพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม 5 บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุขเพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก 6 บุคคลผู้ใดหิวกระหาย ความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุขเพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่มบริบูรณ์ 7 บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบ 8 บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุขเพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า 9 บุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตร 10 บุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรมผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา11 เมื่อเขาจะติเตียนข่มเหง และนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุข 12จงชื่นชมยินดี เพราะว่าบำเหน็จของท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์ เพราะเขาได้ข่มเหงผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย ที่อยู่ก่อนท่านเหมือนกัน

คำว่า Beatitudes ในภาษาลาตินหมายถึง คนที่พระเจ้าทรงอวยพร หรือ คนที่มีความสุขอย่างยิ่ง

เป็นคำเทศนาบนภูเขาของ พระเยซูคริสต์ (Sermon on the mountain) ที่ถือว่ายิ่งใหญ่ตอนหนึ่งของพระองค์ เพราะได้แสดงถึงลักษณะของคนที่ พระเจ้าจะทรงอวยพรนั้นเป็นอย่างไร และ เป็นวัฒนธรรมของคนในอาณาจักรสวรรค์ด้วย ซึ่งต่างจากอาณาจักรโลกโดยสิ้นเชิง

10 คำถามที่ พระเจ้าจะไม่ถามท่านเมื่อท่านยืนต่อหน้าพระเจ้าบนสวรรค์

1.ท่านใช้รถยนตร์ยี่ห้ออะไร แต่พระองค์จะถามว่าท่านเคยให้ คนกี่คนที่ไม่มีรถอาศัยติดรถไปกับท่าน ?

2. บ้านของท่านมีขนาดกี่ตารางวา หรือคอนโดของท่านมีขนาดกี่ตารางเมตร แต่จะถามท่านว่าท่านเคยช่วยเหลือให้คนที่ยากไร้ไม่มีบ้านได้มีบ้านหรือไม่ ?

3.ท่านมีเสื้อผ้ากี่ชุดในตู้เสื้อผ้าของท่าน แต่จะถามท่านว่า ท่านได้เคยบริจาค เสื้อผ้าของท่านแก่ที่ยากไร้เสื้อผ้าหรือไม่ ?

4.ท่านมีเงินเดือนสูงสุดเท่าที่เคยได้รับเท่าไร แต่จะถามท่านว่า ท่านได้เคยลดหย่อน มาตรฐานความซื่อสัตย์สุจริตของท่านลงลงเพื่อให้ได้เงินจำนวนนี้อย่างไร ?

5.พระเจ้าจะไม่ถามว่าตำแหน่งในบริษัทของท่านคือตำแหน่งอะไร แต่จะถามว่าท่านสัตย์ซื่อในการทำงานของท่านอย่างไร ?


6.พระเจ้าจะไม่ถามว่าท่านมีเพื่อนกี่คน แต่จะถามว่าท่านเคยเป็นเพื่อนกับคนที่ไม่มีเพื่อนกี่คน ?

7.พระเจ้าจะไม่ถามว่าเพื่อนบ้านของท่านเป็นอย่างไร แต่จะถามว่า ท่านปฏิบัติต่อเพื่อนบ้านของท่านอย่างไร ?

8. พระเจ้าจะไม่ถามว่าท่านมีความสวย หรือ ความมั่งคั่งร่ำรวยขนาดไหน แต่จะถามว่าท่านมีนิสัยอย่างไร ?

9.พระเจ้าจะไม่ถามว่าท่านมีความเก่ง ความฉลาดและเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปอะไรบ้าง แต่จะถามท่านว่า ท่านได้ใช้ความเก่งความฉลาดของท่านให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นบ้างหรือไม่ ?

10. พระเจ้าจะไม่ถามท่านว่าท่านเคยปกป้องสิทธิประโยชน์ของท่านหรือไม่ แต่จะถามท่านว่าท่านเคยช่วยปกป้องสิทธิประโยชน์
ของผู้ด้อยโอกาสบ้างหรือไม่ ?

ค่านิยมของคนในอาณาจักร พระเจ้า เป็นอย่างไร ?

ลักษณะของคนที่พระเจ้าอวยพร

1. มธ.5:3 "บุคคลผู้ใด รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา”

Blessed are the poor in spirit, for theirs is the kingdom of heaven

คนที่ยากจนฝ่ายวิญญาณ จะมีความสุขได้อย่างไร?

คือคนที่รู้ตัวว่าตนเองนั้นยากจนฝ่ายจิตวิญญาณในภาษาฮีบรูใช้คำว่าล้มละลายฝ่ายจิตวิญญาณ

1. คือคนที่รู้ตัวว่าตนเองล้มเหลวฝ่ายจิตวิญญาณ ถ้าปราศจากพระเจ้าแล้วเขาเหมือนขอทาน วัตถุสิ่งของ ชื่อเสียง เงินทอง ที่เขามีไม่มีประโยชน์อะไร ในอาณาจักรพระเจ้า

2. คือคนที่ถ่อมใจลงต่อพระพักตร์พระเจ้า และต้องการพระองค์เข้ามาเติมเต็มในจิตใจของเขามาก

ความถ่อมใจเป็นเรื่องแรกที่จะต้องมี เป็นบันไดขั้นแรกและเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในการได้รับเข้าสู่อาณาจักรพระเจ้า

มธ.18:4เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดถ่อมจิตใจลงเหมือนเด็กเล็กคนนี้ ผู้นั้นจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์

Therefore, whoever humbles himself like this child is the greatest in the kingdom of heaven.

ยก 4:10 ท่านทั้งหลายจงถ่อมใจลงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระองค์จะทรงยกชูท่านขึ้น

ในภาษากรีก คำว่า บาป คือ Harmatia (ἁμαρτία) หมายถึง “ การพลาดเป้าหมาย ” คือการทำสิ่งที่ผิดเป้าหมายที่พระเจ้าวางไว้หรือพลาดจากน้ำพระทัยพระเจ้า

2. มธ.5:4 "บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม
Blessed are those who mourn, for they will be comforted.

ความเศร้าโศรกในที่นี้หมายถึง ความเศร้าโศรกเสียใจที่ได้ทำบาปลงไป ก่อให้เกิดกลับใจ เลิกจากบาปที่ทำไป จะได้รับการปลอบประโลมจากพระเจ้า

2คร. 7:10-11 10เพราะว่าความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้า ย่อมกระทำให้กลับใจใหม่ ซึ่งนำไปถึงความรอดและไม่เป็นที่น่าเสียใจ แต่ความเสียใจอย่างโลกนั้นย่อมนำไปถึงความตาย

3.มธ.5:5 "บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก
Blessed are the meek, for they will inherit the earth.

1 ปต 2:21-23 …. พระองค์ไม่ได้ทรงกล่าวตอบเขาด้วยคำหยาบคายเลย เมื่อพระองค์ทรงทนทุกข์ พระองค์ไม่ได้ทรงมาดร้าย …

4. มธ.5:6 "บุคคลผู้ใดหิวกระหาย ความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่มบริบูรณ์
Blessed are those who hunger and thirst for righteousness, for they will be filled.

สดด34:10 เหล่าสิงห์หนุ่มยังขาดแคลนและหิวโหย แต่บรรดาผู้ที่แสวงพระเจ้า ไม่ขาดของดีใดๆ

5. มธ.5:7 "บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุขเพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบ
Blessed are the merciful, for they will be shown mercy.

ความเมตตาคือความรักที่หยิบยื่นให้คนที่จำเป็นต้องการ ความช่วยเหลือ และทำด้วยความเต็มใจและเสียสละ

คำว่าเสียสละจึงประกอบ ด้วย สองคำ คือ
เสีย = เสียทรัพย์สิ่งของๆเราไป เช่น เงินทอง
สละ = สละสิทธิที่เป็นของๆเราไป เช่น เวลา ความเป็นส่วนตัว (Privacy) ความสะดวกสบาย

6. มธ.5:8 “บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า
Blessed are the pure in heart, for they will see God.

7. มธ.5:9 “บุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตร
Blessed are the peacemakers, for they will be called sons of God

สันติในที่นี้ คือคำว่า Sharom ซึ่งหมายถึง สันติภาพภายใต้การดูแลของ พระเจ้า

มธ.5:10 “บุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา
Blessed are those who are persecuted because of righteousness, for theirs is the kingdom of heaven.

คนที่ประกาศพระนาม พระเยซูคริสต์ จะได้รับการข่มเหง

การถูกข่มเหง มี 2 ด้านใหญ่ๆ คือ

1. ถูกทำร้ายจิตใจ ถูกข่มเหงด้วยคำพูด

2. ถูกทำร้ายร่างกาย ในสมัยกษัตริย์เนโร คริสเตียนหลายคนถูกเผาทั้งเป็น

เมื่อ คริสเตียนถูกข่มเหง เราควรตอบสนองด้วยการขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี คนที่ได้รับการข่มเหงเพราะพระนามพระเยซูคริสต์ จะได้แผ่นดินสวรรค์เป็นมรดก นิรันดร

Tuesday, July 14, 2009

Church's Twitter

Follow our church twitter at 
http://twitter.com/actsofchrist

Monday, July 13, 2009

ชีวิตใหม่ในพระคริสต์ โดย อ.กอบชัย จิราธิวัฒน์

ชีวิตใหม่ในพระคริสต์ New Life in Christ

อฟ 2:1-10
1 พระองค์ทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายมีชีวิตอยู่ แม้ว่าท่านตายแล้วโดยการละเมิดและการบาป 2 ครั้งเมื่อก่อนท่านเคยประพฤติในการบาปนั้นตามวิถีของโลก ตามเจ้าแห่งย่านอากาศ คือวิญญาณที่ครอบครองอยู่ในคนทั้งหลายที่ไม่เชื่อฟัง 3 เมื่อก่อนเราทั้งปวงเคยประพฤติเป็นพรรคพวกกับคนเหล่านั้น ที่ประพฤติตามตัณหาของเนื้อหนัง คือกระทำตามความปรารถนาของเนื้อหนังและความคิดในใจ ตามสันดานเราจึงเป็นคนควรแก่พระอาชญาเหมือนอย่างคนอื่น 4 แต่พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระกรุณา เพราะเหตุความรักอันใหญ่หลวง ซึ่งพระองค์ทรงรักเรานั้น 5 ถึงแม้ว่าเมื่อเราตายไปแล้วในการบาป พระองค์ยังทรงกระทำให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ (ซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณ) 6 และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระองค์ และทรงโปรดให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระเยซูคริสต์ 7 เพื่อว่าในยุคต่อๆไปพระองค์จะได้ทรงสำแดงพระคุณของพระองค์อันอุดมเหลือล้น ในการซึ่งพระองค์ได้ทรงเมตตาเราในพระเยซูคริสต์ 8 ด้วยว่าซึ่งเราทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวเราทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ 9 ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้ 10 เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ประกอบการดี ซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้าเพื่อให้เรากระทำ

1.ชีวิตเดิมในวิถีแห่งบาป (1-3) Our former sinful life

1.1.มนุษย์เกิดมาในบาป (1,3) Man is born in sin

รม 3:23 เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า

รม 6:23ก เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

รม 1:19-23 เหตุว่าเท่าที่จะรู้จักพระเจ้าได้ก็แจ้งอยู่กับใจเขาทั้งหลาย เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงโปรดสำแดงแก่เขาแล้ว 20 ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระเจ้านั้น คือฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์ ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย 21 เพราะถึงแม้ว่าเขาทั้งหลายได้รู้จักพระเจ้าแล้ว เขาก็มิได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ให้สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า หรือหาได้ขอบพระคุณไม่ แต่เขากลับคิดในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ และจิตใจโง่เขลาของเขาก็มืดมัวไป 22 เขาอ้างตัวว่าเป็นคนมีปัญญา เขาจึงกลายเป็นคนโง่เขลาไป 23 และเขาได้เอาพระสิริของพระเจ้าผู้เป็นอมตะมาแลกกับรูปมนุษย์ที่ต้องตายหรือรูปนก รูปสัตว์จตุบาท และรูปสัตว์เลื้อยคลาน

- การละเมิด Transgressions หมายถึงการหกล้ม หารเบี่ยงเบน การไปผิดทิศทาง

- ความบาป sins คือ การยิงธนูพลาดเป้า หรือ ตกต่ำจากมาตรฐาน ไม่ถึงเป้าหมาย

รม 1:28-32 และเพราะเขาไม่เห็นสมควรที่จะรู้จักพระเจ้า พระองค์จึงทรงปล่อยให้เขามีใจชั่วและประพฤติสิ่งที่ไม่เหมาะสม 29 พวกเขาเต็มไปด้วยสรรพการอธรรม ความชั่วร้าย ความโลภ ความมุ่งร้าย ความอิจฉาริษยา การฆ่าฟัน การวิวาท การล่อลวง การคิดร้าย พูดนินทา 30 ส่อเสียด เกลียดชังพระเจ้า เย่อหยิ่งจองหอง อวดตัว ริทำชั่วแปลกๆไม่เชื่อฟังบิดามารดา 31 โง่เขลา กลับสัตย์ ไม่มีความรักกัน ไร้ความปรานี 32 แม้เขาจะรู้พระบัญญัติของพระเจ้า ที่ว่าคนทั้งปวงที่ประพฤติเช่นนั้นสมควรจะตาย เขาก็ไม่เพียงประพฤติเท่านั้น แต่ยังเห็นดีกับคนอื่นที่ประพฤติเช่นนั้นด้วย

สดด 14:3 เขาทั้งหลายหลงเจิ่นไปหมด และเลวทรามลงเหมือนกันสิ้น ไม่มีสักคนเดียวที่ทำดี ไม่มีเลย

อสย 64:6 ข้าพระองค์ทุกคนได้กลายเป็นเหมือนคนที่ไม่สะอาดและการกระทำอันชอบธรรมของข้าพระองค์ทั้งสิ้นเหมือนเสื้อผ้าที่สกปรก ข้าพระองค์ทุกคนเหี่ยวลงอย่างใบไม้ และความบาปผิดของข้าพระองค์ทั้งหลายได้พัดพาข้าพระองค์ไปเหมือนลม

1ปต 1:16 ดังที่มีพระวจนะเขียนไว้แล้วว่า ท่านทั้งหลายจงเป็นคนบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์

1.2. มนุษย์ดำเนินชีวิตตามวิถีของโลก Man Follows the Ways of The World

อฟ 2:3 เมื่อก่อนเราทั้งปวงเคยประพฤติเป็นพรรคพวกกับคนเหล่านั้น ที่ประพฤติตามตัณหาของเนื้อหนัง คือกระทำตามความปรารถนาของเนื้อหนังและความคิดในใจ ตามสันดานเราจึงเป็นคนควรแก่พระอาชญาเหมือนอย่างคนอื่น

ประพฤติตาม” gratifying คือ ทำอะไรที่ชอบใจที่อยากทำ ไม่สนใจว่าจะเป็นบาปหรือไม่ หรือ ถ้ารู้สึกดี หรือ โอเคก็ทำได้

“ตัณหาของเนื้อหนัง” sinful nature คือ ธรรมชาติของมนุษย์ที่ไม่มีพระเจ้า และไม่สนใจพระเจ้า จะเอาตัวเองเป็นใหญ่ ตัวเองเป็นศูนย์กลาง และทำอะไรตามใจชอบ ภาษากรีก บางทีใช้คำว่า flesh หรือ เนื้อหนัง

รม 6:23 เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

ยน 3:36 ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็มีชีวิตนิรันดร์ ผู้ที่ไม่เชื่อฟังพระบุตรก็จะไม่ได้เห็นชีวิต แต่พระพิโรธของพระเจ้าตกอยู่กับเขา

ระบบของโลกสำท้อนค่านิยมออกมา 3 ลักษณะ คือ
- Humanism มนุษย์นิยม ให้ความสำคัญมนุย์ สูงกว่าทุกสิ่ง มนุษย์เป็นจุดเริ่มต้นและจุดลงท้ายของทุกเรื่อง คนเราทุกคนเป็นนายสูงสุดของเรา มีมาตรฐานของเรา มีความคิดของตัวเอง และมีสิทธิอำนาจสูงสุด กล่าวคือ มนุษย์คือพระเจ้า ไม่มีอะไรสำคัญกว่ามนุษย์
- Materialism วัตถุนิยม เน้นการเป็นเจ้าของวัตถุ ทรัพย์สินมากๆ ที่สำคัญ ต้องร่ำรวยและมีเงินมากๆ เพราะเงินเป็นเครื่องมือในการเปิดโอกาสให้เป็นเจ้าของสิ่งต่างๆได้มากขึ้น เช่น รถ Mercedes Benz , Ferrari, นาฬิกา Rolex, Ademas Piquet, เสื่อผ้า Gucci, กระเป๋า Louis Vuitton, นั่งเครื่องบินที่ชั้นหนึ่ง หรือ business class มีบ้านหลังใหญ่ ได้ทานอาหารแพงๆในร้านอาหารหรู ถือมือถือ iphone หรือ Blackberry จัดงานปาร์ตี้ที่มีสาวๆมาเยอาะๆ ดูทีวีระบบ Home Theatre จอใหญ่ๆ
- Sexual Promiscuity นิยมเพศสัมพันธ์มาก และไม่มีขอบเขต มีเพศสัมพันธ์อย่างสำส่อน มีความตื่นเต้นเมื่อได้เจอผู้หญิงสาวสวยหน้าใหม่ๆเรื่อยๆ ผู้หญิงที่ชอบแต่งตัวล่อแหลม ผู้ชายที่ชอบมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงทีละหลายๆคน การเจอะเจอคู่ใหม่ๆ ได้มีเพศสัมพันธ์กัน ถือว่าเพิ่มประสบการณ์ที่มีรสชาติให้ชีวิต ชีวิตมีความสนุกสนานตื่นเต้น ไม่น่าเบื่อ

1 ยน 2:15-17 อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น 16 เพราะว่าสารพัดซึ่งมีอยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศไม่ได้เกิดมาจากพระบิดา แต่เกิดมาจากโลก 17 และโลกกับสิ่งที่ยั่วยวนของโลกกำลังล่วงไป แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์

ยก 4:4 คนทุจริตเอ๋ย ไม่รู้หรือว่า การเป็นมิตรกับโลกนั้นคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า เหตุฉะนั้นผู้ใดใคร่เป็นมิตรกับโลก ผู้นั้นก็ตั้งตัวเป็นศัตรูกับพระเจ้า

1.3 การติดตามซาตาน หรือ เจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ (2ข) Man Follows the Ways of the Satan

ยก 4:7 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงน้อมใจยอมฟังพระเจ้า จงต่อสู้กับมาร และมันจะหนีท่านไป

2. พระเจ้ารักเราและเมตตาเราโดยให้ชีวิตใหม่แก่เรา (4-7)
God Has Great Love and Is Merciful. He Made Us Alive in Christ

2.1.พระเจ้ารักเรา (4) God love us

ยน 3:16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์

รม 5:18 ฉะนั้นการพิพากษาลงโทษได้มาถึงคนทั้งปวง เพราะการละเมิดครั้งเดียวฉันใด การกระทำอันชอบธรรมครั้งเดียว ก็นำการปลดปล่อยและชีวิตมาถึงทุกคนฉันนั้น

สดด 51:1 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงแสดงพระกรุณาต่อข้าพระองค์ตามความรักมั่นคงของพระองค์ ขอทรงลบการทรยศของข้าพระองค์ออกไปตามแต่พระกรุณาอันอุดมของพระองค์

ยนา 4:2 ท่านจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า "ข้าแต่พระเจ้า เมื่อข้าพระองค์ยังอยู่ในประเทศของข้าพระองค์ ข้าพระองค์พูดแล้วว่าจะเป็นไปเช่นนี้มิใช่หรือ นี่แหละเป็นเหตุให้ข้าพระองค์ได้รีบหนีไปยังเมืองทารชิช เพราะข้าพระองค์ทราบว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงกอปรด้วยพระคุณ และทรงพระกรุณา ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคงและทรงกลับพระทัยไม่ลงโทษ

2.2.พระเจ้าประทานชีวิตใหม่แก่เราและสถาปนาเราร่วมกับพระเยซู (5-6)
God Raised Us Up With Christ and Seated Us with Him

กท 2:20 ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า

รม 8:11 ถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงชุบให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย ทรงสถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย พระองค์ผู้ทรงชุบให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตายแล้วนั้น จะทรงกระทำให้กายซึ่งต้องตายของท่าน เป็นขึ้นมาใหม่ โดยเดชแห่งพระวิญญาณของพระองค์ซึ่งทรงสถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย

รม 3:23-24 เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า 24 แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว

คส 2:13 และท่านที่ตายแล้วด้วยการละเมิดทั้งหลายของท่าน และด้วยเหตุที่เนื้อหนังของท่านมิได้เข้าสุหนัต พระองค์ได้ทรงให้ท่านมีชีวิตร่วมกับพระองค์ และทรงโปรดยกโทษการละเมิดทั้งหลายของท่าน

อฟ 2:6 และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระองค์ และทรงโปรดให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระเยซูคริสต์

2 ทธ 2:12 ถ้าเรามีความอดทน เราก็จะได้ครองร่วมกับพระองค์ ถ้าเราไม่ยอมรับพระองค์ พระองค์ก็จะไม่ทรงยอมรับเราเช่นเดียวกัน

วว 20:6 ผู้ใดที่ได้มีส่วนในการฟื้นจากความตายครั้งแรกก็เป็นสุขและบริสุทธิ์ ความตายครั้งที่สองจะไม่มีอำนาจเหนือคนเหล่านั้น แต่เขาจะเป็นปุโรหิตของพระเจ้าและของพระคริสต์ และจะครอบครองร่วมกับพระองค์ตลอดเวลาพันปี

3.มนุษย์รอดจากบาปได้ด้วยพระคุณพระเจ้า (7-9) 3.Man Is Saved by Grace of God

รม 8:32 พระองค์ผู้มิได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ทรงโปรดประทานพระบุตรนั้นเพื่อประโยชน์แก่เรา ถ้าเช่นนั้นพระองค์จะไม่ทรงโปรดประทานสิ่งสารพัดให้เราทั้งหลาย ด้วยกันกับพระบุตรนั้นหรือ

1ปต 1:3-4 สาธุการแด่พระเจ้าพระบิดาแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ผู้ได้ทรงพระมหากรุณาแก่เรา ทรงโปรดให้เราบังเกิดใหม่ เข้าสู่ความหวังใจอันมีชีวิตอยู่ โดยการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์
4และเพื่อให้ได้รับมรดก ซึ่งไม่รู้เปื่อยเน่า ปราศจากมลทิน และไม่ร่วงโรยซึ่งได้เตรียมไว้ในสวรรค์เพื่อท่านทั้งหลาย

รม 11:6 แต่ถ้าเป็นทางพระคุณ ก็หาได้เป็นเพราะทางการประพฤติไม่ ถ้าเป็นทางการประพฤติ พระคุณก็จะไม่เป็นพระคุณอีกต่อไป

2 ทธ 1:9 ผู้ทรงช่วยเราให้รอด และทรงให้เรามาเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ไม่ใช่เพราะเห็นแก่การดีที่เราได้กระทำ แต่เพราะเห็นแก่พระประสงค์ของพระองค์เอง และพระคุณซึ่งทรงประทานแก่เรา ในพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มานั้น

4.พระเจ้าสร้างเราใหม่เพื่อให้เราดำเนินชีวิตที่ดี (10)
We Are Created by God to Do Good Works

2 คร 5:17 เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น

ฟป 2:13 เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำกิจอยู่ภายในท่าน ให้ท่านมีใจปรารถนาทั้งให้ประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์

1 ทธ 6:18 จงกำชับให้เขากระทำดี ให้กระทำดีมากๆให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และไม่เห็นแก่ตัว

ทต 2:11-13 เพราะว่าพระคุณของพระเจ้าได้ปรากฏแล้ว เพื่อช่วยคนทั้งปวงให้รอด 12 สอนให้เราละทิ้งความอธรรมและโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในยุคนี้อย่างมีสติสัมปชัญญะ สัตย์ซื่อสุจริตและตามคลองธรรม 13 คอยความสุขซึ่งจะได้รับตามความหวัง ได้แก่การปรากฏของพระสิริของพระเจ้าใหญ่ยิ่งคือ {หรือ และ} พระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของเรา

ทต 2:14 ผู้ได้ทรงโปรดประทานพระองค์เองให้เรา เพื่อไถ่เราให้พ้นจากการอธรรมทุกอย่าง และทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ เพื่อให้เป็นหมู่ชนพิเศษเฉพาะของพระองค์ และเป็นคนที่ขวนขวายกระทำการดี

มธ 5:16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์

Sunday, July 12, 2009

Acts's Got Talent

เชิญสมัครเข้าแสดงในรายการ Acts's Got Talent
การแสดงชิงรางวัลที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม 2552 หลังอาหารเที่ยง
ส่งชื่อและรายละเอียดที่ทีมของคุณจะทำการแสดงที่ คุณ เวทิต หรือส่งโดย comment บนข้อความนี้
การแสดงจะเป็นอะไรก็ได้ภายใน 3 นาที
จุดประสงค์ของการแสดงเพื่อให้คนดูประทับใจพระเจ้า

ตัวอย่างที่ท่านสามารถแสดงได้เช่น;
  • ร้องเพลง
  • แปลเพลง
  • คำพูดหนุนใจ
  • ละครสั้น
  • ร่ายรำ
  • การแสดงประกอบฉาก

ผุ้เข้าร่วมแสดงในทีมของคุณจะมีกี่คนก็ได้จะเป็นคนเดียวก็ได้

รางวัลของทีมชนะเลิศคือ คอมพิวเตอร์ net book หนึ่งเครื่อง มูลค่าประมาณ 10,000 บาท

Saturday, July 11, 2009

Friday, July 10, 2009

Power of prayers



ตอนนี้มีมากันเกือบ200คนแล้วครับ รีบๆตามกันมารับพระพรเร็ว

Wednesday, July 8, 2009

Sunday, July 5, 2009

การอธิษฐานขอความสว่างฝ่ายวิญญาณ โดย อ.กอบชัย จิราธิวัฒน์

การอธิษฐานขอความสว่างฝ่ายวิญญาณ

อฟ 1:15-23
เหตุฉะนั้น ครั้นข้าพเจ้าได้ยินว่าท่านทั้งหลายได้วางใจในพระเยซูเจ้า และท่านรักธรรมิกชนทั้งปวง 16 ข้าพเจ้าจึงได้ขอบพระคุณเพราะท่านทั้งหลายไม่หยุดเลย ในเมื่อข้าพเจ้าอธิษฐานเพื่อท่าน 17 ข้าพเจ้าอธิษฐานว่า ขอพระเจ้าแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา คือพระบิดาผู้ทรงพระสิริทรงโปรดประทานให้ท่านทั้งหลาย มีจิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญา และความประจักษ์แจ้งในเรื่องความรู้ถึงพระองค์ 18 และขอให้ตาใจของท่านสว่างขึ้น เพื่อท่านจะได้รู้ว่า ในการที่พระองค์ทรงเรียกท่านนั้น พระองค์ได้ประทานความหวังอะไรแก่ท่าน และรู้ว่า มรดกของพระองค์สำหรับธรรมิกชนมีสง่าราศีอันอุดมบริบูรณ์เพียงไร 19 และรู้ว่า ฤทธานุภาพอันใหญ่ของพระองค์มีมากยิ่งเพียงไร สำหรับเราทั้งหลายที่เชื่อ ตามอำนาจของพระกำลัง และฤทธานุภาพอันใหญ่ยิ่งของพระองค์ 20 ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำในพระคริสต์ เมื่อทรงชุบให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย และให้สถิตเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ในสวรรคสถาน 21 สูงยิ่งเหนือบรรดาเทพผู้ครอง เหนือศักดิเทพ เหนืออิทธิเทพ เหนือเทพอาณาจักร และเหนือนามทั้งปวงที่เขาเอ่ยขึ้น มิใช่ในยุคนี้เท่านั้น แต่ในยุคที่จะมาถึงด้วย
22 พระเจ้าได้ทรงปราบสิ่งสารพัดลงไว้ใต้พระบาทของพระคริสต์ และได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือสิ่งสารพัดแห่งคริสตจักร 23 ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ คือซึ่งเต็มบริบูรณ์ด้วยพระองค์ ผู้ทรงอยู่เต็มทุกอย่างทุกแห่งหน

1.ขอพระเจ้าประทานจิตใจแห่งสติปัญญาและการสำแดงเพื่อจะรู้จักพระองค์ดีขึ้น (15-17)

1.1 เราต้องอธิษฐานเผื่อกันและกันเสมอ (16ข)

“ในเมื่อข้าพเจ้าอธิษฐานเผื่อท่าน”
NIV “remembering you in my prayers”
ฉบับมาตราฐานของสมาคมพระคริสตธรรม “เมื่อระลึกถึงท่านในคำอธิษฐานของข้าพเจ้า”

อฟ 1:17ก
17 ข้าพเจ้าอธิษฐานว่า ขอพระเจ้าแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา คือพระบิดาผู้ทรงพระสิริทรงโปรดประทานให้ท่านทั้งหลาย มีจิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญา และความประจักษ์แจ้งในเรื่องความรู้ถึงพระองค์
ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย (Thai NIV) “ข้าพเจ้าเพียรทูลขอ” NIV “ I keep asking”

ลก 18:1-8 พระองค์ตรัสคำอุปมาเรื่องหนึ่งให้เขาฟัง เพื่อสอนว่าคนทั้งหลายควรอธิษฐานอยู่เสมอ ไม่อ่อนระอาใจ 2 พระองค์ตรัสว่า "ในนครหนึ่งมีผู้พิพากษาคนหนึ่ง ที่มิได้เกรงกลัวพระเจ้าและมิได้เห็นแก่มนุษย์ 3 ในนครนั้นมีหญิงม่ายคนหนึ่งมาหาผู้พิพากษาผู้นั้นพูดว่า "ขอให้ความยุติธรรมแก่ข้าพเจ้าในการสู้ความเถิด" 4 ฝ่ายผู้พิพากษานั้นไม่ยอมทำจนช้านาน แต่ภายหลังเขานึกในใจว่า "แม้ว่าเราไม่ยำเกรงพระเจ้า และไม่เห็นแก่มนุษย์ 5 แต่เพราะแม่ม่ายคนนี้มากวนเราให้ลำบาก เราจะให้ความยุติธรรมแก่นางเพื่อมิให้นางมารบกวนบ่อยๆให้เรารำคาญใจ" 6 และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า "จงฟังคำที่ผู้พิพากษาอธรรมนี้ได้พูด 7 พระเจ้าจะไม่ทรงประทานความยุติธรรมแก่คนที่พระองค์ได้ทรงเลือกไว้ ผู้ร้องถึงพระองค์ทั้งกลางวันกลางคืนหรือ พระองค์จะอดพระทัยไว้ช้านานหรือ 8 เราบอกท่านทั้งหลายว่า พระองค์จะทรงประทานความยุติธรรมให้เขาโดยเร็ว แต่เมื่อบุตรมนุษย์มา ท่านจะพบความเชื่อในแผ่นดินโลกหรือ"

อฟ 6:18-19 จงอธิษฐานวิงวอนทุกอย่าง จงขอโดยพระวิญญาณทุกเวลา ทั้งนี้จงระวังตัวด้วยความเพียรทุกอย่าง จงอธิษฐานเพื่อธรรมิกชนทุกคน 19 และอธิษฐานเพื่อข้าพเจ้าด้วย เพื่อจะทรงประทานให้ข้าพเจ้ามีคำพูดและเกิดใจกล้า ประกาศและสำแดงข้อลับลึกแห่งข่าวประเสริฐได้

1.2 อธิษฐานให้พี่น้องมีสติปัญญา และความประจักษ์แจ้ง (17)

2. ขอให้มีตาใจที่สว่างไสว และเข้าใจน้ำพระทัยพระเจ้า

2.1 รู้จักความหวังที่พระเจ้าเรียกมา (18ก)

รม 8:21-22 ด้วยมีความหวังใจว่า สรรพสิ่งเหล่านั้นจะได้รอดจากอำนาจแห่งความเสื่อมสลาย และจะเข้าในเสรีภาพและศักดิ์ศรีแห่งบุตรทั้งหลายของพระเจ้า 22 เรารู้อยู่ว่าบรรดาสรรพสิ่งที่ทรงสร้างนั้นกำลังคร่ำครวญ และผจญความทุกข์ยากด้วยกันมาจนทุกวันนี้

อฟ 4:3-4 จงเพียรพยายามให้คงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ซึ่งพระวิญญาณทรงประทานนั้นด้วยสันติภาพเป็นพันธนะ 4 มีกายเดียวและมีพระวิญญาณองค์เดียว เหมือนมีความหวังใจอันเดียวที่เนื่องในการที่ทรงเรียกท่าน

1 ปต 3:15 แต่ในใจของท่าน จงเคารพนับถือ พระคริสต์ว่าเป็น องค์พระผู้เป็นเจ้า จงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมเสมอ เพื่อท่านจะสามารถตอบทุกคนที่ถามท่านว่า ท่านมีความหวังใจเช่นนี้ด้วยเหตุผลประการใด แต่จงตอบด้วยใจสุภาพและด้วยความนับถือ

1 ธส 1:3 ต่อพระพักตร์พระบิดาเจ้าของเรา เรารำลึกถึงความเชื่อของท่านที่แสดงออกเป็นการกระทำ และความรักที่ท่านเต็มใจทำงานหนัก และความพากเพียรซึ่งเกิดจากความหวังในพระเยซูคริสตเจ้าของเรา

2.2 รู้จักมรดกที่มีศักดิ์ศรีของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์เพียงใด (18ข)

2.3 รู้ถึงฤทธานุภาพของพระเจ้ามีความยิ่งใหญ่ (19)

อฟ 1:20-23 ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำในพระคริสต์ เมื่อทรงชุบให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย และให้สถิตเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ในสวรรคสถาน 21 สูงยิ่งเหนือบรรดาเทพผู้ครอง เหนือศักดิเทพ เหนืออิทธิเทพ เหนือเทพอาณาจักร และเหนือนามทั้งปวงที่เขาเอ่ยขึ้น มิใช่ในยุคนี้เท่านั้น แต่ในยุคที่จะมาถึงด้วย 22 พระเจ้าได้ทรงปราบสิ่งสารพัดลงไว้ใต้พระบาทของพระคริสต์ และได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือสิ่งสารพัดแห่งคริสตจักร 23 ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ คือซึ่งเต็มบริบูรณ์ด้วยพระองค์ ผู้ทรงอยู่เต็มทุกอย่างทุกแห่งหน

4 ลักษณะ ฤทธานุภาพของพระเจ้า คือ
“power” dunamis ฤทธานุภาพ หมายถึงความสามารถหรือ ฤทธิอำนาจของพระเจ้า
“working” energeian หมายถึง ฤทธิอำนาจที่ทำให้เกิดผล และ active
“mighty” kratous หมายถึง ฤทธิอำนาจที่ชนะอุปสรรค หรือการต่อต้าน
“strength” ischuos หมายถึง ฤทธิอำนาจที่เต็มไปด้วยชีวิตในพระเจ้า

สดด 121:1-8 ข้าพเจ้าเงยหน้าดูภูเขา ความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้ามาจากไหน 2 ความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้ามาจากพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก 3 พระองค์จะไม่ให้เท้าของท่านพลาดไป พระองค์ผู้ทรงอารักขาท่านจะไม่เคลิ้มไป 4 ดูเถิด พระองค์ผู้ทรงอารักขาอิสราเอล จะไม่ทรงหลับสนิทหรือนิทรา 5 พระเจ้าทรงเป็นผู้อารักขาท่าน พระเจ้าทรงเป็นที่กำบังที่ข้างขวามือของท่าน 6 ดวงอาทิตย์จะไม่โจมตีท่านในเวลากลางวัน หรือดวงจันทร์ในเวลากลางคืน 7 พระเจ้าจะทรงอารักขาท่านให้พ้นภยันตรายทั้งสิ้นพระองค์จะทรงอารักขาชีวิตของท่าน 8 พระเจ้า จะทรงอารักขาการเข้าออกของท่าน ตั้งแต่กาลบัดนี้สืบไปเป็นนิตย์

ลก 10:18-20 พระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า "เราได้เห็นซาตาน {ชื่อหนึ่งของมาร หมายความว่า ผู้ขัดขวาง (ปฏิปักษ์)} ตกจากฟ้าเหมือนฟ้าแลบ 19 ดูเถิด เราได้ให้พวกท่านมีอำนาจเหยียบงูร้ายและแมงป่อง และมีอำนาจใหญ่ยิ่งกว่ากำลังศัตรู ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะทำอันตรายแก่ท่านได้เลย 20 แต่ว่าอย่าเปรมปรีดิ์ในสิ่งนี้ คือที่พวกผีอยู่ใต้บังคับของพวกท่าน แต่จงเปรมปรีดิ์ เพราะชื่อของท่านจดไว้ในสวรรค์"

2 คร 12:9 แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น" เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงภูมิใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า

2.3.1.ฤทธานุภาพที่ชุบชีวิตพระเยซูคริสค์จากความตาย (20ก)

รม 8:11 ถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงชุบให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย ทรงสถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย พระองค์ผู้ทรงชุบให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตายแล้วนั้น จะทรงกระทำให้กายซึ่งต้องตายของท่าน เป็นขึ้นมาใหม่ โดยเดชแห่งพระวิญญาณของพระองค์ซึ่งทรงสถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย

1 ธส 4:16-17 ด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ ด้วยพระดำรัสสั่ง ด้วยสำเนียงเรียกของเทพบดีและด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และคนทั้งปวงในพระคริสต์ที่ตายแล้วจะเป็นขึ้นมาก่อน 17 หลังจากนั้นเราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่ จะถูกรับขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น และจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละ เราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์

1คร 15:51-53 ดูก่อนท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ามีความล้ำลึกที่จะบอกแก่ท่าน คือว่าเราจะไม่ล่วงหลับหมดทุกคน แต่เราจะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่หมด 52 ในชั่วขณะเดียว ในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะว่าจะมีเสียงแตร และคนที่ตายแล้วจะเป็นขึ้นมาปราศจากเน่าเปื่อย แล้วเราทั้งหลายจะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่ 53 เพราะว่าสิ่งซึ่งเน่าเปื่อยนี้ต้องสวมซึ่งไม่เน่าเปื่อย และสภาพมตะนี้ต้องสวมสภาพอมตะ

2.3.2 ด้วยฤทธานุภาพ พระเจ้ายกพระเยซูคริสต์ให้อยู่ในฐานะที่สูงสุดเหนือทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงสร้าง (20ข – 21ก)

ฟป 2:6-11 ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ 7 แต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ 8 และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน 9 เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงยกพระองค์ขึ้นอย่างสูง และได้ประทานพระนามเหนือนามทั้งปวงให้แก่พระองค์ 10 เพื่อเพราะพระนามนั้น ทุกเข่า ในสวรรค์ ที่แผ่นดินโลก ใต้พื้นแผ่นดินโลก จะคุกลงกราบ พระเยซู 11 และเพื่อ ทุกลิ้นจะยอมรับ ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า อันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระบิดาเจ้า

อฟ 1:22ก พระเจ้าได้ทรงปราบสิ่งสารพัดลงไว้ใต้พระบาทของพระคริสต์ และได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือสิ่งสารพัดแห่งคริสตจักร

1คร 15:21-28 เพราะว่าความตายได้อุบัติขึ้น เพราะมนุษย์คนหนึ่งเป็นเหตุฉันใด การเป็นขึ้นมาจากความตายก็ได้อุบัติขึ้น เพราะมนุษย์ผู้หนึ่งเป็นเหตุฉันนั้น 22 เพราะว่าคนทั้งปวงต้องตายเกี่ยวเนื่องกับอาดัมฉันใด คนทั้งปวงก็จะกลับได้ชีวิตเกี่ยวเนื่องกับพระคริสต์ฉันนั้น 23 แต่ว่าจะเป็นไปตามลำดับ คือพระคริสต์ทรงเป็นผลแรก แล้วภายหลังก็คือคนทั้งหลายที่เป็นของพระคริสต์ ในเมื่อพระองค์เสด็จมา 24 ต่อจากนั้นจะเป็นวาระที่สุด บัดนั้นพระคริสต์จะทรงมอบแผ่นดินไว้แก่พระบิดาเจ้า เมื่อพระองค์จะได้ทรงทำลายเทพผู้ครอง ศักดิเทพและอิทธิเทพหมดแล้ว 25 เพราะว่าพระองค์จะต้องทรงปกครองอยู่ก่อน จนกว่าพระองค์จะได้ทรงปราบศัตรูทั้งสิ้นให้อยู่ใต้พระบาทของพระองค์ 26 ศัตรูตัวสุดท้ายที่พระองค์จะทรงทำลายนั้นก็คือความตาย 27 เพราะว่าพระองค์ทรงปราบสิ่งสารพัดลงใต้พระบาทของพระองค์แล้ว แต่เมื่อพระคัมภีร์กล่าวว่าทรงปราบสิ่งสารพัดลงนั้น ก็เป็นที่ทราบชัดว่า ยกเว้นองค์พระเจ้าผู้ทรงปราบสิ่งสารพัดให้อยู่ใต้พระองค์ 28 เมื่อสิ่งสารพัดถูกปราบให้อยู่ใต้พระองค์แล้ว เมื่อนั้นองค์พระบุตรก็จะอยู่ใต้พระเจ้า ผู้ทรงปราบสิ่งสารพัดให้อยู่ใต้พระองค์ เพื่อพระเจ้าจะทรงเป็นเอกเป็นใหญ่ในสิ่งสารพัดทั้งปวง

2.3.3.ด้วยฤทธานุภาพ พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูคริสต์เป็นประมุขสูงสุด เพื่อคริสตจักรซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ (22- 23)

อฟ 1:23 ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ คือซึ่งเต็มบริบูรณ์ด้วยพระองค์ ผู้ทรงอยู่เต็มทุกอย่างทุกแห่งหน

1คร 12:22-27 ที่จริงอวัยวะที่เราเห็นว่าอ่อนแอ เราก็ขาดเสียไม่ได้ 23 และอวัยวะที่เราถือว่ามีเกียรติน้อย เราก็ยังทำให้มีเกียรติยิ่งขึ้น และอวัยวะที่ไม่น่าดูนั้น เราก็ทำให้น่าดูยิ่งขึ้น 24 เพราะว่าอวัยวะที่น่าดูแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องตกแต่งอีก แต่พระเจ้าได้ทรงให้อวัยวะของร่างกายเสมอภาคกัน ทรงให้อวัยวะที่ต่ำต้อยเป็นที่นับถือมากขึ้น 25 เพื่อไม่ให้มีการแก่งแย่งกันในร่างกาย แต่ให้อวัยวะทุกส่วนพะวงซึ่งกันและกัน 26 ถ้าอวัยวะอันหนึ่งเจ็บ อวัยวะทั้งหมดก็พลอยเจ็บด้วย ถ้าอวัยวะอันหนึ่งได้รับเกียรติอวัยวะทั้งหมดก็พลอยชื่นชมยินดีด้วย 27 ฝ่ายท่านทั้งหลายเป็นกายของพระคริสต์ และต่างก็เป็นอวัยวะของพระกายนั้น

คส 1:18-19 พระองค์ทรงเป็นศีรษะของกาย คือคริสตจักร พระองค์ทรงเป็นปฐม เป็นผู้แรกที่ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย เพื่อพระองค์จะได้ทรงเป็นเอกในสรรพสิ่งทั้งปวง 19 เพราะว่าพระเจ้าทรงพอพระทัย ที่จะให้ความบริบูรณ์ทั้งสิ้นธำรงในพระองค์

สดด 133:1-3 ดูเถิด ซึ่งพี่น้องอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ก็เป็นการดี และน่าชื่นใจมากสักเท่าใด 2 เหมือนน้ำมันประเสริฐอยู่บนศีรษะไหลอาบลงมาบนหนวดเครา บนหนวดเคราของอาโรน ไหลอาบลงมาบนคอเสื้อของท่าน 3 เหมือนน้ำค้างของภูเขาเฮอร์โมน ซึ่งตกลงบนเทือกเขาศิโยน เพราะว่าพระเจ้าทรงบังคับบัญชาพระพรที่นั่น คือชีวิตจำเริญเป็นนิตย์