Sunday, March 22, 2009

บทบาทหน้าที่ของนายจ้างและลูกจ้าง โดย อ.กอบชัย

บทบาทหน้าที่ของนายจ้างและลูกจ้าง

อฟ.6:5-9
5 ฝ่ายพวกทาส จงเชื่อฟังผู้ที่เป็นนายฝ่ายโลกด้วยใจเกรงกลัวจนตัวสั่น ด้วยน้ำใสใจจริงเหมือนที่กระทำแก่พระคริสต์ 6 ไม่เหมือนอย่างคนที่ทำแต่ต่อหน้า อย่างคนที่ทำให้ชอบใจคน แต่จงทำเหมือนอย่างทาสของพระคริสต์ คือกระทำตามชอบพระทัยพระเจ้าด้วยความเต็มใจ
7 จงปรนนิบัตินายด้วยจิตใจชื่นบาน เหมือนกับปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่ปรนนิบัติมนุษย์ 8 เพราะท่านรู้อยู่แล้วว่าผู้ใดกระทำความดีประการใด ผู้นั้นก็จะได้รับบำเหน็จอย่างนั้นจากองค์พระผู้เป็นเจ้าอีก ไม่ว่าเขาจะเป็นทาสหรือเป็นไท 9 ฝ่ายนายจงกระทำต่อทาสในทำนองเดียวกัน คืออย่าขู่เข็ญเขาเพราะท่านก็รู้แล้วว่า พระองค์ผู้ทรงเป็นนายของเขาและของท่านนั้นอยู่ในสวรรค์ และพระองค์ไม่ทรงเลือกหน้าผู้ใดเลย

อฟ 5:21 จงยอมฟังกันและกันด้วยความเคารพในพระคริสต์

1.การยอมรับฟังของลูกจ้าง (5-8)
1.1 ลูกจ้างต้องมีใจเชื่อฟังนายจ้าง (5)
1 ปต 2:18-20
18 ท่านทั้งหลายที่เป็นคนรับใช้ จงเชื่อฟังนายของท่านทุกอย่าง ไม่ใช่เฉพาะนายที่เป็นคนใจดีและสุภาพเท่านั้น แต่ทั้งนายที่ร้ายด้วย 19 เพราะว่าผู้ที่ได้รับความเห็นชอบว่าดีนั้น ก็ต่อเมื่อเขาเห็นแก่พระเจ้าและยอมอดทนต่อความทุกข์ที่ไร้ความเป็นธรรม
20 เพราะจะเป็นความดีความชอบอย่างไรถ้าท่านทำความชั่ว และท่านถูกเฆี่ยนเพราะการกระทำชั่วนั้น แม้ท่านจะอดทนต่อการถูกเฆี่ยนด้วยความอดกลั้น แต่ว่าถ้าท่านทั้งหลายกระทำการดีและทนเอาเมื่อตกทุกข์ยาก เพราะการดีนั้น ท่านก็จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า

1 ทธ 6:1-12
1 จงให้คนทั้งหลายที่อยู่ใต้แอกแห่งความเป็นทาส ถือว่านายของตนเป็นผู้สมควรแก่การได้รับเกียรติยศทุกสถาน เพื่อว่าพระนามของพระเจ้าและคำสอนจะมิได้ถูกเหยียดหยาม 2 ฝ่ายคนเหล่านั้น ผู้มีนายเป็นผู้มีความเชื่อก็ต้องไม่ขาดความเคารพนาย เพราะเหตุที่ได้มาเป็นพี่น้องกันแล้ว แต่ยิ่งกว่านั้นเขาต้องรับใช้นายให้ดีขึ้น เพราะเหตุว่า นายผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากการรับใช้ของเขานั้น เป็นผู้ที่มีความเชื่อและเป็นที่รัก จงสั่งสอนและสนับสนุนให้กระทำตามหน้าที่เหล่านี้ 3 ถ้าผู้ใดสอนผิดไปจากนี้ และไม่ยอมเห็นด้วยกับพระวจนะ อันมีหลักของพระเยซูคริสตเจ้าของเรา และคำสอนที่สมกับทางของพระเจ้า 4 ผู้นั้นก็เป็นคนทะนงตัวและไม่รู้อะไร เขาชอบทุ่มเถียงและโต้แย้งในเรื่องคำ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดการอิจฉากัน การทะเลาะวิวาทกัน การกล่าวร้ายกัน การไม่ไว้วางใจกัน 5 และการด่าทอกันระหว่างผู้ที่มีใจทรามและไร้ความสัตย์จริง ที่คิดว่าทางของพระเจ้านั้นเป็นทางได้ประโยชน์ 6 จริงอยู่ เราได้รับประโยชน์มากมายจากทางของพระเจ้า พร้อมทั้งความสุขใจ 7 เพราะว่าเราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลกฉันใด เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้ฉันนั้น 8 แต่ถ้าเรามีอาหารและเสื้อผ้า ก็ให้เราพอใจด้วยของเหล่านั้นเถิด 9 ส่วนคนเหล่านั้น ที่อยากร่ำรวยก็ตกอยู่ในข่ายของความเย้ายวน และติดบ่วงแร้วและในความปรารถนานานาที่ไร้ความคิดและเป็นภัยแก่ตัว ซึ่งทำให้คนเราต้องถึงความพินาศเสื่อมสูญไป 10 ด้วยว่าการรักเงินทองนั้นเป็นมูลรากแห่งความชั่วทั้งมวล และเพราะความโลภนี่แหละ จึงทำให้บางคนห่างไกลจากความเชื่อ และตรอมตรมด้วยความทุกข์ 11 แต่ท่านผู้เป็นคนของพระเจ้า จงหลีกหนีเสียจากสิ่งเหล่านี้ จงมุ่งมั่นในความชอบธรรม ในทางของพระเจ้า ความเชื่อ ความรัก ความอดทน และความอ่อนสุภาพ 12 จงต่อสู้อย่างเต็มกำลังความเชื่อ จงยึดชีวิตนิรันดร์ไว้ซึ่งพระเจ้าทรงเรียกให้ท่านรับ ในเมื่อท่านได้รับเชื่ออย่างดีต่อหน้าพยานหลายคน

ทต 2:9-10
9 จงตักเตือนพวกทาสให้เชื่อฟังนายของตน และให้กระทำสิ่งที่ถูกใจนายทุกประการ อย่าให้เถียงเลย 10 อย่าให้ยักยอกแต่ให้สัตย์ซื่อหมดทุกอย่าง เพื่อว่าในการทั้งปวงนั้น เขาจะได้เทิดเกียรติพระดำรัสสอนของพระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา

1.2 เชื่อฟังนายจ้างด้วยท่าทีที่ถูกต้องเหมาะสม
ก.) ด้วยใจเกรงกลัวจนตัวสั่น
ข.) เชื่อฟังนายด้วยน้ำใสใจจริง เหมือนอย่างที่กระทำต่อพระเจ้า
ค.) เชื่อฟังนาย้หมือนอย่างที่กระทำแก่พระคริสต์
ง.) ทำด้วยความสัตย์ซื่อ ต้องการเป็นที่ขอบพระทัยในพระคริสต์
จ.) จงเชื่อฟังทำตามนายจ้างสั่ง เพราะจะได้รับรางวัลจากพระเจ้า

คส 3:23 ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใด ก็จงทำด้วยความเต็มใจเหมือนกระทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เหมือนกระทำแก่มนุษย์

2.การยอมเชื่อฟังของนาย (9)
รม 2:11 อันความคิดของมนุษย์นั้น ไม่มีผู้ใดหยั่งรู้ได้ เว้นแต่จิตวิญญาณของมนุษย์ผู้นั้นเองฉันใด พระดำริของพระเจ้าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าฉันนั้น

New Life camp 20-21 March 2009














Update Picture krub

New Life camp 20-21 March 2009











Update Picture krub

Sunday, March 15, 2009

การเป็นผู้รับใช้พระเจ้า (เวทิต โชควัฒนา)

(ยอนห์21:15-22) 15 เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว พระเยซูตรัสกับซีโมนเปโตรว่า "ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย เจ้ารักเรามากกว่าเหล่านี้หรือ" เขาทูลพระองค์ว่า "เป็นความจริงพระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์" พระองค์ตรัสสั่งเขาว่า "จงเลี้ยงลูกแกะของเราเถิด" 16 พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สองว่า "ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย เจ้ารักเราหรือ" เขาทูลตอบพระองค์ว่า "เป็นความจริงพระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์" พระองค์ตรัสกับเขาว่า "จงดูแลแกะของเราเถิด" 17 พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สามว่า "ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย เจ้ารักเราหรือ" เปโตรก็เป็นทุกข์ใจที่พระองค์ตรัสถามเขาครั้งที่สามว่า "เจ้ารักเราหรือ" เขาจึงทูลพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงทราบว่า ข้าพระองค์รักพระองค์" พระเยซูตรัสกับเขาว่า "จงเลี้ยงแกะของเราเถิด”
18 เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า เมื่อเจ้ายังหนุ่มเจ้าคาดเอวของเจ้าเอง และเดินไปไหนๆตามที่เจ้าปรารถนา แต่เมื่อเจ้าแก่แล้ว เจ้าจะเหยียดมือของเจ้าออก และคนอื่นจะคาดเอวเจ้า และพาเจ้าไปที่ที่เจ้าไม่ปรารถนาจะไป" 19 (ที่พระองค์ตรัสอย่างนั้น เพื่อแสดงว่าเปโตรจะถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยการตายอย่างไร) ครั้นพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้วจึงสั่งเปโตรว่า "จงตามเรามาเถิด" 20 เปโตรเหลียวหลังเห็นสาวกคนที่พระองค์ทรงรักตามมา สาวกคนนั้นคือคนที่เอนตัวลงที่พระทรวงของพระองค์ เมื่อรับประทานอาหารอยู่นั้น และทูลถามว่า "พระองค์เจ้าข้า ผู้ที่จะอายัดพระองค์คือใคร" 21 เมื่อเปโตรเห็นสาวกคนนั้นจึงทูลถามพระเยซูว่า "พระองค์เจ้าข้า คนนี้จะเป็นอย่างไร" 22 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ถ้าเราอยากจะให้เขาอยู่จนเรามานั้น จะเป็นเรื่องอะไรของเจ้าเล่า เจ้าจงตามเรามาเถิด"

  1. การรับใช้เริ่มจากความรักในพระเจ้า

Galatians 5:22 /Revelation 2:4 /1 John 4:20/ John 13:34

2. หนึ่งในการรับใช้คือการประกาศนำคนมารับความรอด

Matthew 4:19

3. การรับใช้ต้องดูแลแกะของพระเจ้า

John 10:11/ Acts 20:28/ 1 Peter 5:2-4

4. ผู้รับใช้ต้องตายต่อตนเองและพร้อมเสียสละแม้นชีวิต

John 13:36-38/ Matthew 10:38-39

5. การรับใช้ต้องเข้าใจการทรงเรียกที่ต่างกันไปในแต่ละบุคคล (ข้อ22)

6. การรับใช้ต้องเดินตามทางของพระเยซูเสมอ

(ท้ายข้อ19,22) “จงตามเรามาเถิด”

Sunday, March 8, 2009

บทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบระหว่างพ่อแม่ และลูก โดย อ.กอบชัย ( 08-03-09 )

บทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบระหว่างพ่อแม่ และลูก

อฟ.6:1-4 1 ฝ่ายบุตรจงนบนอบเชื่อฟังบิดามารดาของตนในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะกระทำอย่างนั้นเป็นการถูก2 จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า นี่เป็นพระบัญญัติข้อแรกที่มีพระสัญญาไว้ด้วย 3 เพื่อเจ้าจะไปดีมาดีและมีอายุยืนนานที่แผ่นดินโลก 4 ฝ่ายท่านผู้เป็นบิดา อย่ายั่วบุตรของตนให้เกิดโทสะ แต่จงอบรมบุตรด้วยการสั่งสอน และการเตือนสติตามหลักขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ฉธบ.6:4-6 4 โอ คนอิสราเอล จงฟังเถิดพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราทั้งหลายเป็นพระเจ้าเดียว5 พวกท่านจงรักพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจและสิ้นสุดกำลังของท่าน 6 และจงให้ถ้อยคำที่ข้าพเจ้าบัญชาพวกท่านในวันนี้อยู่ในใจของท่าน

ปฐก.12:3 เราจะอำนวยพรแก่คนที่อวยพรเจ้า เราจะสาปคนที่แช่งเจ้า บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า

อพย.19:6 เจ้าทั้งหลายจะเป็นอาณาจักรปุโรหิต และเป็นชนชาติบริสุทธิ์สำหรับเรา นี่เป็นถ้อยคำที่เจ้าต้องบอกให้คนอิสราเอลฟัง

มธ.5:16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์

ฉธบ.6:7-8 7 และพวกท่านจงอุตส่าห์สอนถ้อยคำเหล่านั้นแก่บุตรหลานของท่าน เมื่อท่านนั่งอยู่ในเรือน เดินอยู่ตามทาง และนอนลงหรือลุกขึ้น จงพูดถึงถ้อยคำนั้น 8 จงเอาถ้อยคำเหล่านี้พันไว้ที่มือของท่านเป็นหมายสำคัญ และจงจารึกไว้ที่หว่างคิ้วของท่าน

1. บทบาทความรับผิดชอบของลูกต่อพ่อแม่

สดด.127:3-5 3 นี่แน่ะ บุตรทั้งหลายเป็นมรดกจากพระเจ้า ผลิตผลของครรภ์เป็นรางวัล4บุตรทั้งหลายที่เกิดเมื่อเขายังหนุ่ม ก็เหมือนลูกธนูในมือนักรบ 5 ชายใดๆ ที่มีลูกธนูเต็มแล่ง ก็เป็นสุข เขาจะไม่ต้องละอายเมื่อเขาสู้ศัตรูของเขาที่ประตูเมือง

ปฐก.1:28 พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่มนุษย์ ตรัสแก่เขาว่า "จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในอากาศ กับบรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน

สภษ.23:24 บิดาของคนชอบธรรมจะเปรมปรีดิ์อย่างยิ่ง บุคคลผู้ให้เกิดบุตรชายที่ฉลาดจะยินดีด้วยกันกับเขา

คส.3:20 ฝ่ายบุตรทั้งหลายจงเชื่อฟังบิดามารดาของตนทุกอย่าง เพราะการนี้เป็นที่ชอบพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า

สดด.19:8 ข้อบังคับของพระเจ้านั้นถูกต้อง กระทำให้จิตใจเปรมปรีดิ์ พระบัญญัติของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์ กระทำให้ดวงตากระจ่างแจ้ง

สดด.119:75 ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ทราบว่าการพิพากษาของพระองค์นั้นถูกต้องแล้ว และทราบว่าด้วยความซื่อตรงพระองค์ทรงให้ข้าพระองค์ทุกข์ยาก

ฮชย.14:9 ผู้ใดที่ฉลาด ก็ให้เข้าใจสิ่งเหล่านี้เถิด ผู้ใดที่ช่างสังเกต ก็ให้เขารู้ เพราะว่าพระมรรคาของพระเจ้าก็เที่ยงตรง ผู้ชอบธรรมทั้งหลายก็เดินในทางนี้ แต่ผู้ทรยศก็สะดุดอยู่ในทางนี้

อพย.20:12 จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า เพื่ออายุของเจ้าจะได้ยืนนานบนแผ่นดิน ซึ่งพระเจ้าของเจ้าประทานให้แก่เจ้า

อฟ.5:2-3 2 และจงดำเนินชีวิตในความรัก เหมือนดังที่พระคริสต์ได้ทรงรักเราทั้งหลาย และทรงประทานพระองค์เองเพื่อเรา ให้เป็นเครื่องถวายและเครื่องบูชาอันเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า 3 แต่การเอ่ยถึงการล่วงประเวณี การลามกต่างๆและการละโมบ อย่าให้มีขึ้นในพวกท่านเลย จะได้สมกับที่ท่านเป็นธรรมิกชน

อพย.21:15,17 15"ผู้ใดทุบตีบิดามารดาของตน ผู้นั้นจะต้องถูกปรับโทษถึงตาย 17 "ผู้ใดด่าแช่งบิดามารดาของตน ผู้นั้นต้องถูกปรับโทษถึงตาย

ลก.2:51-52 51 แล้วพระกุมารก็ลงไปกับเขา ไปยังเมืองนาซาเร็ธ อยู่ใต้ความปกครองของเขา มารดาก็เก็บเรื่องราวทั้งหมดนั้นไว้ในใจ 52 พระเยซูก็ได้จำเริญขึ้นในด้านสติปัญญา ในด้านร่างกาย และเป็นที่ชอบจำเพาะพระเจ้า และต่อหน้าคนทั้งปวงด้วย

2.บทบาทความรับผิดชอบของบิดามารดาต่อบุตร

อฟ.6:4 ฝ่ายท่านผู้เป็นบิดา อย่ายั่วบุตรของตนให้เกิดโทสะ แต่จงอบรมบุตรด้วยการสั่งสอน และการเตือนสติตามหลักขององค์พระผู้เป็นเจ้า

2.1. การยั่วบุตรให้เกิดโทสะ
2.1.1. การดูแลปกป้องจนเกินขอบเขต
2.1.2. การรับลูกไม่เท่ากัน
2.1.3. การที่พ่อแม่ ผลักดันลูกให้ไปถึงจุดที่เกิดความมีเหตุผล
2.1.4. การตำหนิติเตียนจนเกินเหตุ
2.1.5. การไม่ดูแลเอาใจใส่ลูกด้วยความใกล้ชิดและความรัก
2.1.6. การที่ไม่ยอมให้เด็กเติบโตตามสภาพที่ปกติ
2.1.7. การให้ความรักแก่ลูกอย่างมีเงื่อนไขเหมือนเป็นรางวัล
2.1.8. การปฏิบัติหรือลงโทษลูกอย่างรุนแรงทางร่างกายหรือจิตใจ

การฝึกและการสั่งสอนตามแนวพระวจนะของพระเจ้า
อฟ.6:4 ฝ่ายท่านผู้เป็นบิดา อย่ายั่วบุตรของตนให้เกิดโทสะ แต่จงอบรมบุตรด้วยการสั่งสอน และการเตือนสติตามหลักขององค์พระผู้เป็นเจ้า

สภษ.22:6 จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป และเมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่แล้วเขาจะไม่พรากจากทางนั้น

Sunday, March 1, 2009

จะทำอย่างไร เมื่อไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร โดย อ.ประวัติ (01-03-09)

จะทำอย่างไร เมื่อไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
ทำไมคนเราจึงมีความซึมเศร้าหดหู่
1.ความเหนื่อยอ่อนฝ่ายร่างกาย
2.ความโกรธ
3.ความกังวล
4.ความรู้สึกผิด
5.คนที่รักเจ็บป่วย
6.การสูญเสียคนที่เรารัก
7.ความล้มเหลวในสิ่งที่ตั้งใจไว้
8.สูญเสียงาน
9.สูญเสียการยอมรับ
10.ชีวิตสมรสที่ไม่มีความสุข

2พศด
1.และอยู่มาภายหลัง คนโมอับและคนอันโมนและคนเมอูนีบางคนพร้อมกับเขาทั้งหลาย ได้ขึ้นมาทำสงครามกับเยโฮชาฟัท 3 และเยโฮชาฟัทก็กลัว และมุ่งแสวงหาพระเจ้าและได้ทรงประกาศให้อดอาหารทั่วยูดาห์ 12 ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ทราบว่าจะกระทำประการใด

1. พระเจ้าทรงเรียกท่านให้มีใจจดจ่อที่พระเจ้า
2พศด.20:3 และเยโฮชาฟัทก็กลัว และมุ่งแสวงหาพระเจ้าและได้ทรงประกาศให้อดอาหารทั่วยูดาห์

กษัตริย์ทูลต่อพระเจ้าด้วยความเชื่อ 3 ประการ
1.1. พระเจ้าทรงพระเจ้าในปัจจุบันมิใช่หรือ ?
2พศด.20:6 พระองค์มิได้เป็นพระเจ้าในฟ้าสวรรค์หรือ พระองค์มิได้ปกครองเหนือบรรดาราชอาณาจักรของประชาชาติหรือในพระหัตถ์ของพระองค์มีฤทธิ์และอำนาจ จึงไม่มีผู้ใดต่อต้านพระองค์ได้
สดด.18:46 พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ และพระศิลาของข้าพระองค์เป็นที่ควรสรรเสริญ พระเจ้าแห่งความรอดของข้าพระองค์
ยรม.10:10-11 แต่พระเยโฮวาห์เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ และเป็นพระมหากษัตริย์เนืองนิตย์
1.2.พระเจ้าทรงเคยช่วยกู้ยูดาห์ในอดีตมิใช่หรือ ?
2พศด.20:7 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย พระองค์มิได้ทรงขับไล่ชาวแผ่นนี้ออกไปเสียให้พ้นหน้าอิสราเอล ประชากรของพระองค์หรือ และทรงมอบไว้แก่เชื้อสายของอับราฮัมมิตรสหารยของพระองค์เป็นนิตย์

พระเจ้าทรงปฎิญาณว่าจะทรงอวยพระเชื้อสายของอับราฮัม
ปฐก.22:16-17 16 "พระเจ้าตรัสว่า เราปฏิญาณในนามของเราว่า 17 เราจะอวยพรเจ้าแน่ เราจะทวีเชื้อสายของเจ้าให้มากขึ้น ดังดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล เชื้อสายของเจ้าจะได้ประตูเมืองศัตรูของเจ้าเป็นกรรมสิทธิ์

พระเจ้าทรงเคยแยกทะเลแดงเป็นกำแพลงสองฝั่งให้โมเสส
อพย.14:21-22 โมเสสยื่นมือของท่านออกไปเหนือทะเล และพระเจ้าก็ทรงบันดาลให้ลมทิศตะวันออกพัด โหมไล่น้ำทะเลตลอดคืน ทำให้ทะเลกลายเป็นดินแห้ง น้ำแยกออกจากกัน 22ชนชาติอิสราเอลก็พากันเดินบนดินแห้งกลางทะเล ส่วนน้ำนั้นตั้งเป็นเหมือนกำแพงสำหรับเขา ทั้งทางขวาและทางซ้าย

พระเจ้าทรงเคยทลายกำแพงเมืองเยรีโค
ยชว.6:15-16 ในวันที่เจ็ด...เขาได้เดินกระบวนรอบเมืองเจ็ดครั้ง...โยชูวาบอกแก่ประชาชนว่า "จงโห่ร้องขึ้นเถิด เพราะ
พระเจ้าทรงมอบเมืองให้แก่ท่านแล้ว ... ประชาชนได้ยินเสียงเขาแกะ เขาก็โห่ร้องดังและกำแพงก็พังลงราบ ประชาชนจึงขึ้นไปในเมือง ทุกคนต่างตรงไปข้างหน้าตนและเข้ายึดเมืองนั้น

1.3. พระเจ้าทรงช่วยกู้ยูดาห์ในอนาคตมิใช่หรือ
2พศด.20:12 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ พระองค์จะไม่ทรงกระทำการพิพากษาเหนือเขาหรือ เพราะว่าข้าพระองค์ทั้งหลายไม่มีฤทธิ์ที่จะต่อสู้คนหมู่มหึมานี้ ซึ่งกำลังมาต่อสู้กับข้าพระองค์ทั้งหลาย ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ทราบว่าจะกระทำประการใด

สภษ.23:18 มีอนาคตแน่นอนทีเดียว และความหวังของเจ้าจะมิได้ถูกตัดออก

2.เยโฮซาฟัทยืนต่อหน้าพระนิเวศและอธิษฐาน

2พศด.20:9 ข้าพระองค์ทั้งหลายจะยืนอยู่ต่อหน้าพระนิเวศนี้และต่อพระพักตร์พระองค์

2พศด.20:3 และเยโฮชาฟัทก็กลัว และมุ่งแสวงหาพระเจ้า และได้ทรงประกาศให้อดอาหารทั่วยูดาห์

1พกษ.9:3 พระนิเวศซึ่งเจ้าได้สร้างนี้ไว้ เป็นสถานบริสุทธิ์ และได้ประดิษฐานชื่อของเราไว้ที่นั่นเป็นนิตย์ ตาของเราและใจของเราจะอยู่ที่นั่นตลอดไป

2พกษ.20:5-8 เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้าแล้ว เราได้เห็นน้ำตาของเจ้าแล้ว ดูเถิด เราจะรักษาเจ้าในวันที่สามเจ้าจะเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้า และเราจะเพิ่มชีวิตของเจ้าอีกสิบห้าปีเราจะช่วยกู้เจ้า และเมืองนี้จากมือของพระราชาแห่งอัสซีเรีย และป้องกันเมืองนี้ไว้

มธ.21:13 พระองค์ตรัสกับเขาว่า "มีพระวจนะเขียนไว้ว่า นิเวศของเราเขาจะเรียกว่า เป็นนิเวศอธิษฐาน

3.จงสังเกตการช่วยกู้ของพระเจ้า

2พศด.20:15 พระเจ้าตรัสดังนี้แก่ท่านทั้งหลายว่า"อย่ากลัวเลย และอย่าท้อถอยด้วยคนหมู่มหึมานี้เลย เพราะว่าการสงครามนั้นไม่ใช่ของท่าน แต่เป็นของพระเจ้า

4.เริ่มต้นสรรเสริญพระเจ้าล่วงหน้า

2พศด.20:23-26 และเมื่อเขาทั้งหลายตั้งต้นร้องเพลงสรรเสริญ พระเจ้าทรงจัดกองซุ่มคอยต่อสู้กับคนอัมโมน โมอับ และชาวภูเขาเสอีร์เพราะว่าคนของอัมโมนและของโมอับ ได้ลุกขึ้นต่อสู้กับชาวภูเขาเสอีร์ ทำลายเขาเสียอย่างสิ้นเชิงและเมื่อเขาทั้งหลายทำลายชาวเสอีร์หมดแล้ว เขาทั้งสิ้นช่วยกันทำลายซึ่งกันและกัน เมื่อเยโฮชาฟัทและประชาชนของพระองค์มาเก็บของเสียจากเขาทั้งหลาย เขาพบสัตว์เป็นจำนวนมาก ข้าวของ เสื้อผ้า และของมีค่าต่างๆ ซึ่งเขาเก็บมามากสำหรับตัวจนขนไปไม่ไหว เขาเก็บของที่ริบได้เหล่านั้นสามวัน เพราะมากเหลือเกิน ในวันที่สี่เขาทั้งหลายได้ชุมนุมกันที่หุบเขา เบราคาห์ ด้วยที่นั่นเขาสรรเสริญพระเจ้าเพราะพระพร เพราะฉะนั้น เขาจึงเรียกที่นั้นว่าเบราคาห์ ( แปลว่า พระพร การสรรเสริญ ) จนถึงทุกวันนี้