Sunday, March 22, 2009

บทบาทหน้าที่ของนายจ้างและลูกจ้าง โดย อ.กอบชัย

บทบาทหน้าที่ของนายจ้างและลูกจ้าง

อฟ.6:5-9
5 ฝ่ายพวกทาส จงเชื่อฟังผู้ที่เป็นนายฝ่ายโลกด้วยใจเกรงกลัวจนตัวสั่น ด้วยน้ำใสใจจริงเหมือนที่กระทำแก่พระคริสต์ 6 ไม่เหมือนอย่างคนที่ทำแต่ต่อหน้า อย่างคนที่ทำให้ชอบใจคน แต่จงทำเหมือนอย่างทาสของพระคริสต์ คือกระทำตามชอบพระทัยพระเจ้าด้วยความเต็มใจ
7 จงปรนนิบัตินายด้วยจิตใจชื่นบาน เหมือนกับปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่ปรนนิบัติมนุษย์ 8 เพราะท่านรู้อยู่แล้วว่าผู้ใดกระทำความดีประการใด ผู้นั้นก็จะได้รับบำเหน็จอย่างนั้นจากองค์พระผู้เป็นเจ้าอีก ไม่ว่าเขาจะเป็นทาสหรือเป็นไท 9 ฝ่ายนายจงกระทำต่อทาสในทำนองเดียวกัน คืออย่าขู่เข็ญเขาเพราะท่านก็รู้แล้วว่า พระองค์ผู้ทรงเป็นนายของเขาและของท่านนั้นอยู่ในสวรรค์ และพระองค์ไม่ทรงเลือกหน้าผู้ใดเลย

อฟ 5:21 จงยอมฟังกันและกันด้วยความเคารพในพระคริสต์

1.การยอมรับฟังของลูกจ้าง (5-8)
1.1 ลูกจ้างต้องมีใจเชื่อฟังนายจ้าง (5)
1 ปต 2:18-20
18 ท่านทั้งหลายที่เป็นคนรับใช้ จงเชื่อฟังนายของท่านทุกอย่าง ไม่ใช่เฉพาะนายที่เป็นคนใจดีและสุภาพเท่านั้น แต่ทั้งนายที่ร้ายด้วย 19 เพราะว่าผู้ที่ได้รับความเห็นชอบว่าดีนั้น ก็ต่อเมื่อเขาเห็นแก่พระเจ้าและยอมอดทนต่อความทุกข์ที่ไร้ความเป็นธรรม
20 เพราะจะเป็นความดีความชอบอย่างไรถ้าท่านทำความชั่ว และท่านถูกเฆี่ยนเพราะการกระทำชั่วนั้น แม้ท่านจะอดทนต่อการถูกเฆี่ยนด้วยความอดกลั้น แต่ว่าถ้าท่านทั้งหลายกระทำการดีและทนเอาเมื่อตกทุกข์ยาก เพราะการดีนั้น ท่านก็จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า

1 ทธ 6:1-12
1 จงให้คนทั้งหลายที่อยู่ใต้แอกแห่งความเป็นทาส ถือว่านายของตนเป็นผู้สมควรแก่การได้รับเกียรติยศทุกสถาน เพื่อว่าพระนามของพระเจ้าและคำสอนจะมิได้ถูกเหยียดหยาม 2 ฝ่ายคนเหล่านั้น ผู้มีนายเป็นผู้มีความเชื่อก็ต้องไม่ขาดความเคารพนาย เพราะเหตุที่ได้มาเป็นพี่น้องกันแล้ว แต่ยิ่งกว่านั้นเขาต้องรับใช้นายให้ดีขึ้น เพราะเหตุว่า นายผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากการรับใช้ของเขานั้น เป็นผู้ที่มีความเชื่อและเป็นที่รัก จงสั่งสอนและสนับสนุนให้กระทำตามหน้าที่เหล่านี้ 3 ถ้าผู้ใดสอนผิดไปจากนี้ และไม่ยอมเห็นด้วยกับพระวจนะ อันมีหลักของพระเยซูคริสตเจ้าของเรา และคำสอนที่สมกับทางของพระเจ้า 4 ผู้นั้นก็เป็นคนทะนงตัวและไม่รู้อะไร เขาชอบทุ่มเถียงและโต้แย้งในเรื่องคำ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดการอิจฉากัน การทะเลาะวิวาทกัน การกล่าวร้ายกัน การไม่ไว้วางใจกัน 5 และการด่าทอกันระหว่างผู้ที่มีใจทรามและไร้ความสัตย์จริง ที่คิดว่าทางของพระเจ้านั้นเป็นทางได้ประโยชน์ 6 จริงอยู่ เราได้รับประโยชน์มากมายจากทางของพระเจ้า พร้อมทั้งความสุขใจ 7 เพราะว่าเราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลกฉันใด เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้ฉันนั้น 8 แต่ถ้าเรามีอาหารและเสื้อผ้า ก็ให้เราพอใจด้วยของเหล่านั้นเถิด 9 ส่วนคนเหล่านั้น ที่อยากร่ำรวยก็ตกอยู่ในข่ายของความเย้ายวน และติดบ่วงแร้วและในความปรารถนานานาที่ไร้ความคิดและเป็นภัยแก่ตัว ซึ่งทำให้คนเราต้องถึงความพินาศเสื่อมสูญไป 10 ด้วยว่าการรักเงินทองนั้นเป็นมูลรากแห่งความชั่วทั้งมวล และเพราะความโลภนี่แหละ จึงทำให้บางคนห่างไกลจากความเชื่อ และตรอมตรมด้วยความทุกข์ 11 แต่ท่านผู้เป็นคนของพระเจ้า จงหลีกหนีเสียจากสิ่งเหล่านี้ จงมุ่งมั่นในความชอบธรรม ในทางของพระเจ้า ความเชื่อ ความรัก ความอดทน และความอ่อนสุภาพ 12 จงต่อสู้อย่างเต็มกำลังความเชื่อ จงยึดชีวิตนิรันดร์ไว้ซึ่งพระเจ้าทรงเรียกให้ท่านรับ ในเมื่อท่านได้รับเชื่ออย่างดีต่อหน้าพยานหลายคน

ทต 2:9-10
9 จงตักเตือนพวกทาสให้เชื่อฟังนายของตน และให้กระทำสิ่งที่ถูกใจนายทุกประการ อย่าให้เถียงเลย 10 อย่าให้ยักยอกแต่ให้สัตย์ซื่อหมดทุกอย่าง เพื่อว่าในการทั้งปวงนั้น เขาจะได้เทิดเกียรติพระดำรัสสอนของพระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา

1.2 เชื่อฟังนายจ้างด้วยท่าทีที่ถูกต้องเหมาะสม
ก.) ด้วยใจเกรงกลัวจนตัวสั่น
ข.) เชื่อฟังนายด้วยน้ำใสใจจริง เหมือนอย่างที่กระทำต่อพระเจ้า
ค.) เชื่อฟังนาย้หมือนอย่างที่กระทำแก่พระคริสต์
ง.) ทำด้วยความสัตย์ซื่อ ต้องการเป็นที่ขอบพระทัยในพระคริสต์
จ.) จงเชื่อฟังทำตามนายจ้างสั่ง เพราะจะได้รับรางวัลจากพระเจ้า

คส 3:23 ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใด ก็จงทำด้วยความเต็มใจเหมือนกระทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เหมือนกระทำแก่มนุษย์

2.การยอมเชื่อฟังของนาย (9)
รม 2:11 อันความคิดของมนุษย์นั้น ไม่มีผู้ใดหยั่งรู้ได้ เว้นแต่จิตวิญญาณของมนุษย์ผู้นั้นเองฉันใด พระดำริของพระเจ้าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าฉันนั้น

No comments: