Sunday, August 30, 2009

หลักการดำเนินชีวิตที่เกิดผล อ.ประวัติ ตุลยธัญ

หลักการดำเนินชีวิตที่เกิดผล (Principles of Fruitful Life)

สดด 1:1-6
1ความสุขเป็นของบุคคล ผู้ไม่ดำเนินตามคำแนะนำของคนอธรรม หรือยืนอยู่ในทางของคนบาป หรือนั่งอยู่ในที่นั่งของคนที่ชอบเยาะเย้ย 2 แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้าเขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน 3 เขาเป็นเช่นต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล และใบก็ไม่เหี่ยวแห้ง การทุกอย่างซึ่งเขากระทำก็จำเริญขึ้น 4 คนอธรรมไม่เป็นเช่นนั้น แต่เป็นเหมือนแกลบซึ่งลมพัดกระจายไป 5เหตุฉะนั้น คนอธรรมจะไม่ยั่งยืนอยู่ได้ เมื่อถึงคราวพระเจ้าทรงพิพากษา หรือคนบาปไม่ยืนยงในที่ชุมนุมของคนชอบธรรม 6เพราะพระเจ้าทรงทราบทางของคนชอบธรรม แต่ทางของคนอธรรมจะพินาศไป

“ มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อแข่งกันหาเงิน พระเจ้าไม่ได้ตั้งเป้าหมายชีวิตเราอย่างนั้น

และในการเริ่มต้นนั้น เงินไม่มีบทบาทกับการดำเนินชีวิตของมนุษย์เลย

แต่เวลาผ่านไปมนุษย์ได้สร้างเงื่อนไขนี้ ขึ้นมาแทนการแลกเปลี่ยน และให้ความสำคัญกับมันมากขึ้น ในที่สุดมันก็ครองโลก ครองใจ
คนทั้งโลก ที่บางคนสามารถยอมตายเพื่อมันได้

หลักการดำเนินชีวิตที่เกิดผล คือ

1. คนที่ไม่ได้ดำเนินตามคำแนะนำของคนอธรรม (who does not walk in the counsel of the ungodly)

ไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ / กระแส / คำสอนของคนอธรรม

สภษ.14:12 มีทางหนึ่งซึ่งคนเราดูเหมือนถูก แต่มันสิ้นสุดลงที่ทางของความมรณา

2. ไม่ยืนอยู่ในทางของคนบาป (does not stand in the way of sinners)

คำว่า ยืนอยู่ (take a stand with the sinners) หมายถึง คนที่เห็นด้วยกับการอธรรมของคนบาป หรือมีความ เชื่อและศรัทธาในกลุ่มของคนบาป หรือร่วมชุมนุมกับคนเหล่านั้น

รม 6:16 …ถ้าท่านยอมตัวรับใช้ฟังคำของผู้ใด ท่านก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟังนั้น คือเป็นทาสของบาปซึ่งนำไปสู่ความตาย

3. ไม่นั่งอยู่ในที่นั่งของคนที่ชอบเยาะเย้ย (Does not sit in the seat of mockers)

คนที่ชอบเยาะเย้ยคือ คนที่ต่อต้านพระเจ้า และเกลียดชังพระเจ้า (Atheist)

สภษ 3:34 พระองค์ทรงเยาะเย้ย คนที่มักเยาะเย้ย

ความบาปที่ร้ายแรง 7 ประเภทที่พระเจ้าเกลียด
สภษ. 6:16-19

1.ตา ยโส (haughty eyes) (haughty = ทะนง, ถือยศ, โอหัง, ถือตัว)
2.ลิ้นมุสา (a lying tongue)
3.มือที่ทำโลหิตไร้ผิดให้ตก ( hands that shed innocent blood)
4. จิตใจที่คิดแผนงานโหดร้าย (a heart that devises wicked schemes)
5.เท้าซึ่งรีบวิ่งไปสู่ความชั่ว (feet that are quick to rush into evil )
6.พยานเท็จซึ่งหายใจออกเป็นคำมุสา ( a false witness who pours out lies)
7.คนผู้หว่านความแตกร้าวท่ามกลางพวกพี่น้อง ( a man who stirs up dissension among brothers )

ยก 1:15 ครั้นตัณหาเกิดขึ้นแล้ว ก็ทำให้เกิดบาป และเมื่อบาปเจริญเต็มที่แล้ว ก็นำไปสู่ความตาย

ทำไมน้ำจึงเดือด ??? (ทำไมคนถึงทำบาป ???) เพราะมีสิ่งเร้า.... วิธีการที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้คือ ปิดสิ่งเร้า และเติมน้ำเย็นเข้าไปเรื่อยๆ หรือเติมความรักของพระเจ้าเข้าไปแทนที่

สภษ 3:34 พระองค์ทรงเยาะเย้ย คนที่มักเยาะเย้ย

ลักษณะชีวิตของคนที่เกิดผล

4. คนที่ชื่นชมยินดีที่ได้ปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ของพระเจ้า

สดด 1:2 ..แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า…

สภษ 16:20 บุคคลผู้สนใจในพระวจนะจะพบของดี

5. คนที่มีใจปรารถนาที่จะอธิษฐานในพระวจนะพระเจ้าอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน on his law he meditates day and night

เมื่อเขาทำการหลักการเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ พระเจ้าทรงอวยพรชีวิตของคนเหล่านี้ คือ

1. ชีวิตของเขาจะเปรียบเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมน้ำ ( He is like a tree planted by streams of water, )

2. ชีวิตของเขาเกิดผลพระวิญญาณในเวลาที่เหมาะสม

ปญจ 3:11 พระองค์ทรงกระทำให้สรรพสิ่งงดงามตามฤดูกาลของมัน

สดด 1:3 ...ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล และใบก็ไม่เหี่ยวแห้ง การทุกอย่างซึ่งเขากระทำก็จำเริญขึ้น

ความไม่มั่นคงของ คนอธรรม

สดด.1:4 คนอธรรมไม่เป็นเช่นนั้นแต่เป็นเหมือนแกลบซึ่งลมพัดกระจายไป

แกลบ คือ เปลือกของเม็ดข้าวสาร ที่ไม่มีราคาค่างวดอะไร ทำประโยชน์ได้น้อย หรือไม่ได้ใช้ทำอะไรนอกจากทิ้งให้ผุหรือเผาไฟเป็นเชื้อถ่านรวมความว่าเป็นสิ่งที่ไร้ราคา

ในทำนองเดียวกัน ก็มีคนเป็นอันมาก ที่มักจะปล่อยเวลาให้หมดไปกับสิ่งที่ไร้สาระ และไม่อาจจะเรียกร้องให้กลับคืนมาได้อีก

โรม 13:14 อย่าจัดเตรียมอะไรไว้บำรุงบำเรอตัณหาของเนื้อหนัง

พระเจ้าจะพิพากษาลงโทษคนอธรรม แต่ปกป้องคนชอบธรรม

สดด.1:5-6 เหตุฉะนั้น คนอธรรมจะไม่ยั่งยืนอยู่ได้ เมื่อถึงคราวพระเจ้าทรงพิพากษา หรือคนบาปไม่ยืนยงในที่ชุมนุมของคนชอบธรรม 6 เพราะพระเจ้าทรงทราบทางของคนชอบธรรม แต่ทางของคนอธรรมจะพินาศไป

“สองเส้นทางให้เลือกอยู่กลางป่า ฉันเลือกเส้นทางที่คนน้อยคนจะเลือกเดิน และนั่นทำให้ชีวิตของฉันแตกต่างไป”
“Two roads diverged in a wood and I – I took the one less traveled by, and that has made all the difference.” By Henry David Thoreau

มธ 7:13-14 จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่ และทางกว้างซึ่งนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก 14เพราะว่าประตูซึ่งนำไปถึงชีวิตนั้น ก็คับและทางก็แคบ ผู้ที่หาพบก็มีน้อย

Acts Got Talents

Tuesday, August 25, 2009

คุณยายน้องเอ แคร์ Acts 2 B2 ได้เลียชีวิตแล้วเมื่อเช้านี้

คุณยายที่นั้งรถเข็นมาคจ.ไปค่ายกับพวกเรา ที่มาคจ.พร้อมหลานสาว
น้องเอ แคร์ Acts 2 B2 ได้เลียชีวิตแล้วเมื่อเช้านี้ จะตั้งศพสวดอภอธรรม 1 วันคือวันนี้ ที่วัดธาตุทอง ศาลา 6 ประมาณ 1 ทุ่ม และ
เผาวันพรุ่งนี้ รบกวนท่านที่รู้จักคุณยาย และน้องเอ รวมทั้งสมาชิกในแขวง Acts 2 มีส่วนในการหนุนใจน้องเอด้วยค่ะ

การจัดพิธีไว้อาลัย จะมีขึ้นในวันเสาร์หน้า ที่ คจ. และทางฝ่ายศาสนพิธีคงจะได้ติดต่อช่วยงานอีกทีค่ะ

Monday, August 24, 2009

Sunday, August 23, 2009

เราเป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์ โดย อ. กอบชัย จิราธิวัฒน์

เราเป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์

อฟ 2:11-22 เหตุฉะนั้นท่านจงระลึกว่า เมื่อก่อนท่านเคยเป็นคนต่างชาติตามเนื้อหนัง และพวกที่รับพิธีเข้าสุหนัตซึ่งกระทำแก่เนื้อหนังด้วยมือ เคยเรียกท่านว่า เป็นพวกที่มิได้เข้าสุหนัต 12 จงระลึกว่า ครั้งนั้นท่านทั้งหลายเป็นคนอยู่นอกพระคริสต์ ขาดจากการเป็นพลเมืองอิสราเอล และไม่มีส่วนในบรรดาพันธสัญญาซึ่งทรงสัญญาไว้นั้น ไม่มีที่หวัง และอยู่ในโลกปราศจากพระเจ้า 13 แต่บัดนี้ในพระเยซูคริสต์ท่านทั้งหลายซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกล ได้เข้ามาใกล้โดยพระโลหิตของพระคริสต์ 14 เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นสันติสุขของเรา เป็นผู้ทรงกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และทรงรื้อกำแพงที่กั้นระหว่างสองฝ่ายลง 15 คือการเป็นปฏิปักษ์กัน โดยในเนื้อหนังของพระองค์ ได้ทรงให้ธรรมบัญญัติอันประกอบด้วยบทบัญญัติและกฎหมายต่างๆนั้นเป็นโมฆะ เพื่อจะกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นคนใหม่คนเดียวในพระองค์ เช่นนั้นแหละ จึงทรงกระทำให้เกิดสันติสุข 16 และเพื่อจะทรงกระทำให้ทั้งสองพวกคืนดีกับพระเจ้า เป็นกายเดียวโดยกางเขน ซึ่งเป็นการทำให้การเป็นปฏิปักษ์ต่อกันหมดสิ้นไป 17 และพระองค์ได้เสด็จมาประกาศสันติสุขแก่ท่านที่อยู่ไกล และประกาศสันติสุขแก่คนที่อยู่ใกล้ 18 เพราะว่าพระองค์ทรงทำให้เราทั้งสองพวกมีโอกาสเข้าเฝ้าพระบิดาโดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน 19 เหตุฉะนั้นท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าวต่างแดนอีกต่อไป แต่ว่าเป็นพลเมืองเดียวกันกับธรรมิกชน และเป็นครอบครัวของพระเจ้า 20 ท่านได้ถูกประดิษฐานขึ้น บนรากแห่งพวกอัครทูตและพวกผู้เผยพระวจนะ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศิลามุมเอก 21 ในพระองค์นั้นทุกส่วนของโครงร่างต่อกันสนิท และเจริญขึ้นเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า 22 และในพระองค์นั้น ท่านก็กำลังจะถูกก่อขึ้นให้เป็นที่สถิตของพระเจ้าในฝ่ายพระวิญญาณด้วย

ยน.17:11 บัดนี้ข้าพระองค์จะไม่อยู่ในโลกนี้อีกแต่พวกเขายังอยู่ในโลกนี้ และข้าพระองค์กำลังจะไปหาพระองค์ ข้าแต่พระบิดาผู้บริสุทธิ์ ขอพระองค์ทรงโปรดพิทักษ์รักษาบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ไว้โดยพระนามของพระองค์ เพื่อเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนดังข้าพระองค์กับพระองค์

ยน.17:21-23 เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังที่พระองค์ คือพระบิดาทรงสถิตในข้าพระองค์ และข้าพระองค์ในพระองค์ เพื่อให้เขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์ และกับข้าพระองค์ด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา 22 เกียรติซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ได้มอบให้แก่เขา เพื่อเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังที่พระองค์กับข้าพระองค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้น 23 ข้าพระองค์อยู่ในเขาและพระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์ เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา และพระองค์ทรงรักเขาเหมือนดังที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์

อฟ.4:3-6 จงเพียรพยายามให้คงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ซึ่งพระวิญญาณทรงประทานนั้นด้วยสันติภาพเป็นพันธนะ 4 มีกายเดียวและมีพระวิญญาณองค์เดียว เหมือนมีความหวังใจอันเดียวที่เนื่องในการที่ทรงเรียกท่าน 5 มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อเดียว บัพติศมาเดียว 6 พระเจ้าองค์เดียวผู้เป็นพระบิดาของคนทั้งปวง ผู้ทรงอยู่เหนือคนทั้งปวง และทั่วคนทั้งปวง และในคนทั้งปวง

พระเจ้าช่วยให้เราเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ 3 ทาง

1. เราไม่สามารถเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้โดยพันธสัญญาเดิม

อมส.3:2 "ในบรรดาตระกูลทั้งสิ้นในโลกนี้ เจ้าเท่านั้นที่เราเลือกไว้ ดังนั้นเราจึงจะลงโทษเจ้า เพราะความผิดบาปทั้งสิ้นของเจ้า

ปฐก12:3 เราจะอำนวยพรแก่คนที่อวยพรเจ้า เราจะสาปคนที่แช่งเจ้า บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า"

ยนา 4:1-2 เหตุการณ์นี้ไม่เป็นที่พอใจโยนาห์อย่างยิ่ง และท่านโกรธ 2 ท่านจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า "ข้าแต่พระเจ้า เมื่อข้าพระองค์ยังอยู่ในประเทศของข้าพระองค์ ข้าพระองค์พูดแล้วว่าจะเป็นไปเช่นนี้มิใช่หรือ นี่แหละเป็นเหตุให้ข้าพระองค์ได้รีบหนีไปยังเมืองทารชิช เพราะข้าพระองค์ทราบว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงกอปรด้วยพระคุณ และทรงพระกรุณา ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคงและทรงกลับพระทัยไม่ลงโทษ

1.1 “อยู่นอกพระคริสต์” หมายถึงถูกแยกจากพระคริสต์ หรือพระมาซีฮา คนต่างชาติไม่มีหวังว่าพระมาซีฮาจะมาช่วยกู้เขาเหมือนกู้คนยิวดังนั้นประวัติศาสตร์ของชนชาติเขาจึงไม่มีจุดมุ่งหมาย ไม่มีแผนการจากพระเจ้า ไม่มีจุดหมายปลายทางที่พระเจ้าจะนำไป มีแต่จะรอรับการพิพากษาลงโทษจากพระเจ้า เขาเหล่านี้ต่างหันไปหาพระต่างๆมาเคารพบูชาเหมือนเป็นพระเจ้า

1.2 “ขาดการเป็นพลเมืองอิสราเอล” พระเจ้าได้เลือกให้ชนชาติอิสราเอลสามารถรู้จักพระเจ้าได้ และยอมถ่อมลงให้พระเจ้ามาปกครองจิตใจ และชีวิต แต่คนต่างชาติอยู่ไกลจากพระเจ้า

1.3 “ไม่มีส่วนในบรรดาพันธสัญญาซึ่งทรงสัญญาไว้นั้น”

อพย.12:2-3 "ให้เดือนนี้เป็นเดือนเริ่มต้นสำหรับเจ้าทั้งหลาย ให้เป็นเดือนแรกในปีใหม่สำหรับพวกเจ้า 3 จงสั่งชุมนุมคนอิสราเอลว่า ในวันที่สิบเดือนนี้ ให้ผู้ชายทุกคนเตรียมลูกแกะ รอบครัวละตัว ตามตระกูลของตน

1.4 “ไม่มีหวัง” คนใดก็ตามไม่มีพระคริสต์หรือพระมาซีฮา ขาดจากการเป็นพลเมืองอิสราเอล และไม่มีส่วนในพระสัญญาซึ่งพระเจ้าสัญญาไว้ คนนั้นก็เป็นพลเมืองที่ไม่มีหวัง

โยบ 7:6 วันคืนของข้าเร็วกว่ากระสวยของช่างทอ และสิ้นสุดลงด้วยไร้ความหวัง

สดด.146:5 องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราใหญ่ยิ่งและทรงฤทธานุภาพอุดม ความเข้าใจของพระองค์นั้นวัดไม่ได้

1.5 “อยู่ในโลกปราศจากพระเจ้า” คนต่างชาติ หรือคนในโลกอาจมีพระเจ้าหลายองค์ ปัญหาคือ ไม่รู้จักพระเจ้าเที่ยงแท้ และไม่ได้ต้องการจะรู้จักพระเจ้าเที่ยงแท้อย่างแท้จริง

1 คร.2:11 อันความคิดของมนุษย์นั้น ไม่มีผู้ใดหยั่งรู้ได้ เว้นแต่จิตวิญญาณของมนุษย์ผู้นั้นเองฉันใด พระดำริของพระเจ้าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าฉันนั้น

รม.2:11 “พระเจ้าไม่ได้ทรงเลือกที่รักมักที่ชัง”

รม 2:15 เขาแสดงให้เห็นว่าหลักความประพฤติที่เป็นตามธรรมบัญญัตินั้นมี จารึกอยู่ในจิตใจของเขา และใจสำนึกผิดชอบก็เป็นพยานของเขาด้วย ความคิดขัดแย้งต่างๆของเขานั้นแหละจะกล่าวโทษตัวเขา หรืออาจจะแก้ตัวให้เขา

รม 1:19-20 เหตุว่าเท่าที่จะรู้จักพระเจ้าได้ก็แจ้งอยู่กับใจเขาทั้งหลาย เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงโปรดสำแดงแก่เขาแล้ว 20 ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระเจ้านั้น คือฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์ ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย

2. โดยทางพระเยซูคริสต์ซึ่งเป็นพันธสัญญาใหม่ เราจึงเข้ามาใกล้พระเจ้าได้

กจ 4:12 ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า"

2.1 คนยิวและคนต่างชาติต่างได้รับความรอดทางพระเยซูคริสต์ เมื่อธรรมบัญญัติของคนยิวช่วยนำไปสู่ความรอดไม่ได้ เพราคนอิสราเอลไม่สามารถประพฤติตามธรรมบัญญัติได้ครบถ้วนทั้งหมดจึงกระทำบาปต่อพระเจ้า

รม.2:25 ถ้าท่านประพฤติตามธรรมบัญญัติ พิธีเข้าสุหนัต ก็เป็นประโยชน์จริง แต่ถ้าท่านละเมิดธรรมบัญญัติ การที่ท่านเข้าสุหนัตนั้นก็เหมือนกับว่าไม่ได้เข้าเลย

รม.3:23 เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า

รม.3:20 เพราะว่าในสายพระเนตรของพระเจ้าไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเป็นคนชอบธรรมโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติได้ เพราะว่าธรรมบัญญัตินั้นทำให้เรารู้จักบาปได้

รม.3:24 แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว

กท.2:20 ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า

2.2 “พระองค์ทรงรื้อกำแพงที่กั้นระหว่างสองฝ่ายลง”

2.3 “ได้ทรงให้ธรรมบัญญัติอันประกอบด้วย บทบัญญัติและกฎหมายต่างๆเป็นโมฆะ”

ฮบ.10:9 แล้วพระองค์จึงตรัสว่า "ข้าพระองค์มาแล้วพระเจ้าข้า เพื่อจะกระทำตามน้ำพระทัยพระองค์ พระองค์ทรงยกเลิกระบบเดิมนั้นเสีย เพื่อจะทรงตั้งระบบใหม่

Kainos = new ไม่ได้หมายถึงสิ่งที่ผลิตหรือสร้างมาแล้ว แต่เพิ่งทำสำเร็จใหม่ๆ สดๆร้อนๆ
แต่หมายถึงสิ่งที่ใหม่แตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง ทั้งคุณลักษณะ และคุณภาพ คือสิ่งที่ใหม่ๆแท้จริง
พระเจ้าสร้างทั้งยิวและคนต่างชาติ กลายเป็นชนชาติใหม่ คือคริสเตียนผ่านทางพระเยซู

2.4 “กางเขนทำให้ทั้งสองพวกคืนดีกับพระเจ้า และเป็นกายเดียวกันโดยกางเขน ซึ่งทำให้การเป็นปฏิปักษ์ต่อกันหมดสิ้นไป”

2.5 พระเยซูทำให้เราเข้าเฝ้าพระบิดาได้โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์

ยน.14:23 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า "ถ้าผู้ใดรักเรา ผู้นั้นจะประพฤติตามคำของเรา และพระบิดาจะทรงรักเขา แล้วพระบิดากับเราจะมาหาเขา และจะอยู่กับเขา

ฮบ.4:16 ฉะนั้นขอให้เราทั้งหลาย จงมีใจกล้าเข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณ เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และจะได้รับพระคุณที่จะช่วยเราในขณะที่ต้องการ

รม.8:31-32 ถ้าเช่นนั้นเราจะว่าอย่างไร ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครจะขัดขวางเรา 32 พระองค์ผู้มิได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ทรงโปรดประทานพระบุตรนั้นเพื่อประโยชน์แก่เรา ถ้าเช่นนั้นพระองค์จะไม่ทรงโปรดประทานสิ่งสารพัดให้เราทั้งหลาย ด้วยกันกับพระบุตรนั้นหรือ

รม.8:15-16 เหตุว่าท่านไม่ได้รับน้ำใจทาสซึ่งทำให้ตกในความกลัวอีก แต่ท่านได้รับพระวิญญาณผู้ทรงให้เป็นบุตรของพระเจ้า ให้เราทั้งหลายร้องเรียกพระเจ้าว่า "อับบา" คือพระบิดา 16 พระวิญญาณนั้นเป็นพยานร่วมกับวิญญาณจิตของเราทั้งหลายว่า เราทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า

3. พระเยซูคริสต์สร้างเราให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

พระเยซูคริสต์สร้างเราให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นคริสตจักรของพระเจ้า สะท้อนออกมาใน 3
ลักษณะคือ

3.1 เป็นชนชาติของพระเจ้า ผู้เป็นธรรมิกชน

1 ปต 2:9 แต่ท่านทั้งหลายเป็นชาติที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นประชาชาติบริสุทธิ์ เป็นชนชาติ
ของพระเจ้าโดยเฉพาะ เพื่อให้ท่านทั้งหลายประกาศพระบารมีของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลายให้
ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์

ฟป 3:20 แต่บ้านเมืองของเรานั้นอยู่ที่สวรรค์ เรารอคอยผู้ช่วยให้รอด ซึ่งจะเสด็จมาจากสวรรค์คือพระเยซูคริสตเจ้า

3.2 เป็นครอบครัวของพระเจ้า

กท 4:6 และเพราะท่านเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว พระองค์จึงทรงใช้พระวิญญาณแห่งพระบุตรของพระองค์ เข้ามาในใจของเรา ร้องว่า "อาบา" คือ พระบิดา

3.3 เป็นโครงร่างที่ต่อกันสนิทและเจริญขึ้นเป็นวิหารอันบริสุทธิ์และเป็นที่สถิตของพระเจ้า

อฟ 4:15-16 แต่ให้เรายึดความจริงด้วยใจรัก เพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะ คือพระคริสต์ 16 คือเนื่องจากพระองค์นั้น ร่างกายทั้งสิ้นที่ติดต่อสนิทและประสานกันโดยทุกๆข้อต่อ ที่ทรงประทานได้ จำเริญเติบโตขึ้นด้วยความรัก เมื่ออวัยวะทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสมแล้ว

1 ปต 2:5 และท่านทั้งหลายก็เสมือนศิลาที่มีชีวิต ที่กำลังก่อขึ้นเป็นพระนิเวศฝ่ายพระวิญญาณ เป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อถวายสักการบูชาฝ่ายวิญญาณ ที่ชอบพระทัยของพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์

2 คร 6:16 วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้ เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์ ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า "เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขาและเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และ เขาจะเป็นชนชาติของเรา

อสย 28:16 เพราะฉะนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "ดูเถิด เราวางศิลาไว้ในศิโยนเพื่อเป็นรากฐาน คือศิลาที่ทดสอบแล้ว เป็นศิลา
มุมเอกอย่างประเสริฐเป็นรากฐานอันมั่นคง 'เขาผู้นั้นที่วางใจจะไม่รีบร้อน”

z


Posted by ShoZu

Wednesday, August 19, 2009

Sunday, August 16, 2009

พี่น้องในพันธสัญญา โดย ดร.นุโรจน์ พานิช

พี่น้องในพันธสัญญา

2 ทธ.4:9-10 จงพยายามมาพบข้าพเจ้าโดยเร็ว 10 เพราะว่าเดมาสได้หลงรักโลกปัจจุบันนี้เสียแล้ว และได้ทิ้งข้าพเจ้าไปยังเมืองเธสะโลนิกา เครสเซนส์ได้ไปยังแคว้นกาลาเทีย ทิตัสได้ไปยังเมืองดาลมาเทีย

1. การแสดงออกของพี่น้องในพันธสัญญาแท้

1.1 การให้ความสำคัญต่อพี่น้องในชุมชนของพระเจ้าอย่างมาก

มก. 6:31-34 แล้วพระองค์ตรัสแก่เขาว่า "ท่านทั้งหลายจงไปหาที่เปลี่ยวหยุดพักหายเหนื่อยสักหน่อยหนึ่ง" เพราะว่ามีคนไปมาเป็นอันมากจนไม่มี เวลาว่างจะรับประทานอาหารได้ 32 พระองค์จึงเสด็จลงเรือกับสาวกไปยังที่เปลี่ยวแต่ลำพัง 33 คนเป็นอันมากเห็นพระองค์กับสาวกกำลังไป และจำได้ จึงพากันวิ่งออกจากบ้านเมืองทั้งปวงไปถึงก่อน 34 ครั้นพระเยซูเสด็จขึ้นจากเรือแล้ว ก็ทรงเห็นประชาชนหมู่ใหญ่ และพระองค์ทรงสงสารเขา เพราะว่าเขาเป็นเหมือนฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง พระองค์จึงทรงสั่งสอนเขาเป็นหลายข้อหลายประการ

มก. 6:35-37 เมื่อเวลาล่วงไปเกือบจะค่ำแล้ว พวกสาวกมาทูลพระองค์ว่า "ที่นี่กันดารอาหารนัก และบัดนี้เวลาก็เย็นลงมากแล้ว 36 ขอพระองค์ทรงให้ประชาชนไปเสียเถิด เพื่อเขาจะได้ไปซื้ออาหารรับประทานตามบ้านไร่ บ้านนาที่อยู่แถบน 37 แต่พระองค์ตรัสตอบแก่เหล่าสาวกว่า "พวกท่านจงเลี้ยงเขาเถิด" เขาทูลพระองค์ว่า "จะให้พวกข้าพระองค์ไปซื้ออาหารสักสองร้อยเหรียญเดนาริอัน {หนึ่งเหรียญเดนาริอันเป็นจำนวนเงินที่จ้างคนงานให้ทำงานหนึ่งวัน} ให้เขารับประทานหรือ"

1.2 ปรารถนาที่จะอยู่ใกล้ชิด

ฮบ.10:24 และขอให้เราพิจารณาดูว่าจะทำอย่างไร จึงจะปลุกใจซึ่งกันและกันให้มีความรักและทำความดี

กจ. 20:36-38 ครั้นเปาโลกล่าวอย่างนั้นแล้วจึงคุกเข่าลงอธิษฐานกับคนเหล่านั้น 37 เขาทั้งหลายจึงร้องไห้มากมายและกอดคอของเปาโล จุบท่าน 38 เขาเป็นทุกข์มากที่สุด เพราะถ้อยคำที่ท่านกล่าวว่า เขาจะไม่เห็นหน้าท่านอีก แล้วเขาก็พาท่านไปส่งที่เรือ

3 ยน1:14 ข้าพเจ้าหวังว่าจะได้พบท่านในเร็วๆนี้ และจะได้พูดกันต่อหน้า (1:15)ขอสันติสุขจงมีแก่ท่าน บรรดาสหายฝากความระลึกถึงมายังท่าน ขอฝากความระลึกถึงมายังบรรดาสหายทุกคน

1 ซมอ.23:15-16 และดาวิดเห็นว่าซาอูลได้ทรงออกมาแสวงชีวิตของเธอ ดาวิดอยู่ในป่าศิฟที่โฮเรช 16 และโยนาธานราชบุตรของซาอูลได้ลุกขึ้นไปหาดาวิดที่โฮเรช และสนับสนุนมือของเธอให้เข้มแข็งขึ้นในพระเจ้า

2. การแสดงออกของพี่น้องในพันธสัญญาเทียม

2.1 เห็นคุณค่าสิ่งอื่นมากกว่า

2.2 ละทิ้งไปในยามยากลำบาก

Tuesday, August 11, 2009

พิธีไว้อาลัยคุณแม่คุณบดินทร์

พิธีไว้อาลัยคุณแม่คุณบดินทร์จะจัดในวันเสาร์ที่15ที่วัดหัวลำโพงศาลา7เวลา12:00-13:00
ขอเชิญสมาชิกคริสตจักรเข้าร่วมครับ

Monday, August 10, 2009

คุณแม่ของคุณบดินทร์จากไปเมื่อคืนนี้

คุณแม่ของคุณบดินทร์จากไปเมื่อคืนนี้ งานมีที่วัดหัวลำโพงวันนี้ถึงวันที่15ยกเว้นวันแม่ พิธีไว้อาลัยอาจจะจัดที่วัดวันเสาร์ที่15ช่วงบ่าย จะแจ้งกำหนดการอีกครั้งหนึ่ง

Sunday, August 9, 2009

รัก เชื่อฟัง และให้เกียรติคุณแม่ โดย อ.กอบชัย จิราธิวัฒน์

รัก เชื่อฟัง และให้เกียรติคุณแม่

อฟ 6:1-3
1ฝ่ายบุตรจงนบนอบเชื่อฟังบิดามารดาของตนในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะกระทำอย่างนั้นเป็นการถูก
2จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า นี่เป็นพระบัญญัติข้อแรกที่มีพระสัญญาไว้ด้วย
3เพื่อเจ้าจะไปดีมาดีและมีอายุยืนนานที่แผ่นดินโลก

ลก 2:19 ฝ่ายนางมารีย์ก็เก็บบรรดาสิ่งเหล่านั้นไว้ในใจและรำพึงอยู่

ลก 2:48 ฝ่ายบิดามารดาเมื่อเห็นแล้วก็ประหลาดใจ มารดาจึงว่า "ลูกเอ๋ย ทำไมจึงทำแก่เราอย่างนี้ ดูเถิด พ่อกับแม่แสวงหาเป็นทุกข์นัก"

มธ 12:46
ขณะที่พระองค์ยังตรัสกับประชาชนอยู่นั้น มารดาและพวกน้องชายของพระองค์พากันมายืนอยู่ภายนอก หาโอกาสจะสนทนากับพระองค์

ยน 19:25 พวกทหารได้กระทำดังนี้ ผู้ที่ยืนอยู่ข้างกางเขนของพระเยซูนั้น มีมารดาของพระองค์กับน้าสาวของพระองค์ มารีย์ภรรยาของเคลโอปัส และมารีย์ชาวมักดาลา

1. บุตรต้องเชื่อฟังบิดามารดาในองค์พระผู้เป็นเจ้า (1)

ภาษากรีก (Tekna) หมายถึงเด็กที่เป็นลูก ถ้ายังไม่เป็นผู้ใหญ่ แต่งงานแยกบ้านออกไปอยู่เอง อยู่ในความหมายของข้อนี้

Hupakouo หมายถึง การเชื่อฟัง หรือ การฟังอย่างตั้งใจและจดจ่อ และตอบสนองอย่างถูกต้องต่อสิ่งที่ได้ทุกสอนสั่ง

2. บุตรต้องให้เกียรติบิดามารดา (2)

การให้เกียรติ (Timao) หมายถึง การเห็นว่ามีคุณค่าสูงส่ง การยกย่องว่ามีค่าแก่การเคารพนับถือ

อพย 21:15 ผู้ใดทุบตีบิดามารดาของตน ผู้นั้นจะต้องถูกปรับโทษถึงตาย

ลวต 20:9 เพราะว่าทุกคนที่แช่งบิดาหรือมารดาของตนจะต้องมีโทษถึงตาย เขาได้แช่งบิดาหรือมารดาของเขา ที่เขาต้องตายนั้นเขาเองรับผิดชอบ

การให้เกียรติบิดามารดาคือ การพูดจาสุภาพอ่อนโยน กิริยามารยาทที่สุภาพนอบน้อม การดูแลเอาใจใส่บิดามารดายามป่วยไข้ อ่อนแอ อยู่ในวัยชรา ช่วยเหลือด้านการเงิน ไปเยี่ยมเยียน ชวนไปทานข้าว พาหลานๆไปพบ พาไปหาหมอ พาไปพักผ่อนต่างจังหวัด

3. พระพรจากการเชื่อฟังและให้เกียรติบิดามารดา (3)

4. ตัวอย่างพระเยซู ห่วงใยและดูแลพระมารดา

ยน 19:25-27 พวกทหารได้กระทำดังนี้ ผู้ที่ยืนอยู่ข้างกางเขนของพระเยซูนั้น มีมารดาของพระองค์กับน้าสาวของพระองค์ มารีย์ภรรยาของเคลโอปัส และมารีย์ชาวมักดาลา 26 เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นมารดาของพระองค์ และสาวกคนที่พระองค์ทรงรักยืนอยู่ใกล้พระองค์ จึงตรัสกับมารดาของพระองค์ว่า "หญิงเอ๋ย จงดูบุตรของท่านเถิด" 27 แล้วพระองค์ตรัสกับสาวกคนนั้นว่า "จงดูมารดาของท่านเถิด" ตั้งแต่เวลานั้นมาสาวกคนนั้นก็รับมารดาของพระองค์มาอยู่ในบ้านของตน

ยน 19:18 ณที่นั้นเขาตรึงพระองค์ไว้ที่กางเขนกับคนอีกสองคน คนละข้างและพระเยซูทรงอยู่กลาง

พระองค์ขอร้องให้ยอห์นสาวกเอกให้ช่วยรับมารดาของพระองค์ไปดูแลเหมือนกับเป็นมารดาของยอห์นเอง ยอห์นก็ยินดีทำตาม

พระเยซูเห็นคุณค่าของแม่ และมีความกตัญญู แม้ใกล้สิ้นพระชนม์ ยังคิดกาทางที่จะดูแลมารดาของพระองค์ด้วยการฝากให้ยอห์นสาวกเอกรับไปดูแลต่อ

คริสเตียนทุกคนจึงควรเชื่อฟังพระคัมภีร์ เอาแบบอย่างของพระเยซู

เชื่อฟังและเคารพให้เกียรติบิดามารดา และดูแลเอาใจใส่บิดามารดายามชราหรือยามป่วยไข้

วันแม่





























Sunday, August 2, 2009

ใช้ชีวิตในโลก...แต่ไม่เป็นเชลยโลก โดย อ.พรสัณห์ เตชะโรจนทรัพย์

ใช้ชีวิตในโลก...แต่ไม่เป็นเชลยโลก

ดนล. 1 : 1 – 21

1 ในปีที่สามของรัชกาลเยโฮยาคิมกษัตริย์ของยูดาห์ เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์ของบาบิโลนเสด็จมายังกรุงเยรูซาเล็ม และทรงล้อมเมืองไว้ 2 และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบเยโฮยาคิมกษัตริย์ของยูดาห์ไว้ในหัตถ์ของพระองค์ท่าน พร้อมทั้งเครื่องใช้บางชิ้นแห่งพระนิเวศของพระเจ้า และพระองค์ท่านก็นำของเหล่านั้นมายังแผ่นดินชินาร์มายังนิเวศแห่งพระของพระองค์ท่าน และทรงบรรจุเครื่องใช้เหล่านั้นไว้ในคลังของพระของพระองค์ท่าน 3 แล้วกษัตริย์นั้นก็ทรงบัญชาให้อัชเปนัสหัวหน้าขันทีของพระองค์ท่าน ให้นำคนอิสราเอลบางคน ทั้งเชื้อพระวงศ์และเชื้อสายของขุนนาง 4 พวกหนุ่มๆที่ปราศจากตำหนิ มีรูปร่างงามและเชี่ยวชาญในสรรพปัญญา กอปรด้วยความรู้และเข้าใจในสรรพวิทยา กับสามารถที่จะรับราชการในพระราชวัง และทรงให้สอนวิชาและภาษาของคนเคลเดียให้เขาทั้งหลาย 5 พระราชาทรงให้นำอาหารสูงซึ่งพระราชาเสวย และเหล้าองุ่นซึ่งพระองค์ท่านดื่มให้แก่เขาเหล่านั้นตามกำหนดทุกวัน ทรงให้เขาทั้งหลายรับการเลี้ยงดูอยู่สามปี เมื่อครบกำหนดเวลานั้นแล้วก็ทรงให้เขาเข้ารับราชการ 6 ในบรรดาคนเผ่ายูดาห์นั้นมีดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอล และอาซาริยาห์ 7 และท่านหัวหน้าขันทีจึงตั้งชื่อให้ใหม่ ดาเนียลนั้นให้เรียกว่าเบลเทชัสซาร์ ฮานันยาห์เรียกว่าชัดรัค มิชาเอลเรียกว่าเมชาค และอาซาริยาห์เรียกว่าอาเบดเนโก 8 แต่ดาเนียลตั้งใจไว้ว่าจะไม่กระทำตัวให้เป็นมลทินด้วยอาหารสูงของพระราชา หรือด้วยเหล้าองุ่นซึ่งพระองค์ดื่ม เพราะฉะนั้นเขาจึงขอหัวหน้าขันทีให้ยอมเขาที่ไม่กระทำตัวให้เป็นมลทิน 9 และพระเจ้าทรงให้หัวหน้าขันทีชอบและสมเพชดาเนียล 10 และหัวหน้าขันทีจึงกล่าวแก่ดาเนียลว่า "ข้าเกรงว่าพระราชาเจ้านายของข้าผู้ทรงกำหนดอาหารและเครื่องดื่มของเจ้า ทอดพระเนตรเห็นว่า พวกเจ้ามีหน้าซูบซีดกว่าบรรดาคนหนุ่มๆอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เจ้าก็จะกระทำให้ศีรษะของข้าเข้าสู่อันตรายเพราะพระราชา" 11 แล้วดาเนียลจึงกล่าวแก่มหาดเล็กผู้ที่หัวหน้าขันทีกำหนดให้ดูแลดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอล และอาซาริยาห์ 12 ว่า "ขอท่านจงทดลองผู้รับใช้ของท่านสักสิบวัน ขอให้เขานำผักมาให้เรากินและน้ำมาให้เราดื่ม 13 แล้วให้ท่านตรวจดูหน้าตาของเราทั้งหลาย เทียบกับหน้าตาของบรรดาอนุชนผู้รับประทานอาหารสูงของพระราชา และเมื่อท่านเห็นอย่างไรแล้วจงกระทำแก่ผู้รับใช้ของท่านอย่างนั้น" 14 เขาก็ยอมทำตามคนเหล่านั้นในเรื่องนี้และทดลองเขาอยู่สิบวัน 15 เมื่อครบสิบวันแล้วจึงเห็นว่าบรรดาคนเหล่านั้นรูปร่างหน้าตาดีกว่า และเนื้อหนังเต่งตั่งกว่าบรรดาอนุชนที่รับประทานอาหารสูงของพระราชา 16 ดังนั้นมหาดเล็กจึงนำอาหารสูงส่วนของเขาทั้งหลาย และเหล้าองุ่นซึ่งเขาทั้งหลายควรจะได้ดื่มนั้นไปเสีย และให้ผักแก่เขา 17 ฝ่ายอนุชนทั้งสี่คนนี้ พระเจ้าประทานสรรพวิทยา และความชำนาญในเรื่องวิชาทั้งปวงและปัญญา และดาเนียลเข้าใจในนิมิตและความฝันทุกประการ 18 พอสิ้นกำหนดเวลาที่พระราชาทรงบัญชาให้นำเขาทั้งหลายเข้าเฝ้า หัวหน้าขันทีจึงนำเขาทั้งหลายเข้ามาเฝ้าเนบูคัดเนสซาร์ 19 และพระราชาก็ทรงสัมภาษณ์เขา ในบรรดาอนุชนเหล่านั้นไม่พบสักคนหนึ่งที่เหมือนดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอลและอาซาริยาห์ เพราะฉะนั้นเขาจึงได้เข้ารับราชการ 20 ในบรรดาเรื่องราวอันเกี่ยวกับปัญญาและความรอบรู้ ซึ่งพระราชาตรัสถามเขาทั้งหลาย ทรงเห็นว่าเขาทั้งหลายดีกว่าพวกโหร และพวกหมอดู ซึ่งอยู่ในอาณาจักรทั้งสิ้นของพระองค์สิบเท่า 21 และดาเนียลก็ได้รับราชการเรื่อยมาจนต้นรัชกาลพระราชาไซรัส

แบบอย่างประการที่หนึ่ง : แบบอย่างด้านความรัก (1 – 4)

“ความรู้เปลี่ยนแต่ความรักคงเดิม” ความรักของดาเนียลที่มีต่อพระเจ้าไม่เคยเปลี่ยนแปลง แม้ว่าตัวเขาและเพื่อนจะได้รับโอกาสในการศึกษา ที่สูงเพียงใดก็ตาม

ปฐก. 14 : 1 – 9 ในสมัยอัมราเฟลกษัตริย์เมืองชินาร์ อารีโอคกษัตริย์เมืองเอลลาสาร์ เคโดร์ลาโอเมอร์กษัตริย์เมืองเอลาม และทิดาลกษัตริย์เมืองโกยิม 2 กษัตริย์เหล่านี้ทำสงครามรบสู้กับเบ-รากษัตริย์เมืองโสโดม กับบิรชากษัตริย์เมืองโกโมราห์ กับชินาบกษัตริย์เมืองอัดมาห์ กับเชเมเบอร์กษัตริย์เมืองเศโบยิม และกับกษัตริย์เมืองเบ-ลา (คือโศอาร์) 3 กษัตริย์เมืองเหล่านี้รวมทัพกันณที่ราบสิดดิม (คือทะเลเกลือ) 4 กษัตริย์เหล่านี้ยอมขึ้นแก่กษัตริย์เคโดร์ลาโอเมอร์สิบสองปี แต่ในปีที่สิบสามก็กบฏ 5 ในปีที่สิบสี่ เคโดร์ลาโอเมอร์กับกษัตริย์ที่รวมอยู่กับท่านนั้น ก็ยกมารบชนะคนเรฟาอิมที่เมืองอัชทาโรทคารนาอิม กับคนศูซิมที่เมืองฮามกับคนเอมิมที่เมืองชาเวห์-คีริยาธาอิม 6 ชาวโฮรีที่ภูเขาเสอีร์ซึ่งเป็นของตน จนถึงเมืองเอลปารานใกล้ถิ่นทุรกันดาร 7 แล้วกลับมาถึงเมืองเอนมิสปัท (คือคาเดช) รบชนะหมด เมืองของคนอามาเลขและทั้งคนอาโมไรต์ที่ตั้งอยู่ณฮาซาโซนทามาร์ 8 แล้วกษัตริย์เมืองโสโดม กษัตริย์เมืองโกโมราห์ กษัตริย์เมืองอัดมาห์ กษัตริย์เมืองเศโบยิมและกษัตริย์เมืองเบ-ลา (คือ โศอาร์) ก็ออกไปในที่ราบสิดดิม 9 ปะทะกับเคโดร์ลาโอเมอร์กษัตริย์เมืองเอลาม ทิดาลกษัตริย์เมืองโกยิม อัมราเฟลกษัตริย์เมืองชินาร์ และอารีโอคกษัตริย์เมืองเอลลาสาร์ กษัตริย์สี่องค์ต่อสู้กับห้าองค์

อสย. 11 : 11 ในวันนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงยื่นพระหัตถ์ของพระองค์ออกไปเป็นครั้งที่สอง เพื่อจะได้ส่วนชนชาติของพระองค์ที่เหลืออยู่คืนมา เป็นคนเหลือจากอัสซีเรีย จากอียิปต์ จากปัทโรส จากเอธิโอเปีย จากเอลาม จากชินาร์ จากฮามัท และแผ่นดินชายทะเล

ยรม. 51 : 29 แผ่นดินที่สะเทือนสะท้าน และบิดตัวด้วยความเจ็บ เพราะบรรดาพระประสงค์ของพระเจ้าต่อบาบิโลนก็ตั้งมั่นอยู่ ที่จะกระทำให้แผ่นดินบาบิโลนเป็นที่ร้างเปล่า ปราศจากคนอาศัย

1 คร.8:1 เรื่องของที่เขาบูชาแก่รูปเคารพนั้น เราทั้งหลายทราบแล้วว่า "เราทุกคนต่างก็มีความรู้" ความรู้นั้นทำให้ลำพอง แต่ความรักเสริมสร้างขึ้น

1 คร. 13 : 1 – 9 แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆ ได้ เป็นภาษามนุษย์ก็ดี เป็นภาษาทูตสวรรค์ก็ดี แต่ไม่มีความรักข้าพเจ้าเป็นเหมือนฆ้องหรือฉาบที่กำลังส่งเสียง 2 แม้ข้าพเจ้าจะเผยพระวจนะได้ และเข้าใจในความล้ำลึกทั้งปวงและมีความรู้ทั้งสิ้น และมีความเชื่อมากยิ่งที่สุดพอจะยกภูเขาไปได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย 3 แม้ข้าพเจ้าจะสละของสารพัดหรือยอมให้เอาตัวข้าพเจ้าไปเผาไฟเสีย แต่ไม่มีความรัก จะหาเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าไม่ 4 ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว 5 ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด 6 ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ 7 ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง 8 ความรักไม่มีวันสูญสิ้น แม้การเผยพระวจนะก็จะเสื่อมสูญไป แม้การพูดภาษาแปลกๆนั้นก็จะมีเวลาเลิกกัน แม้วิชาความรู้ก็จะเสื่อมสูญไป 9 เพราะความรู้ของเรานั้นไม่สมบูรณ์ และการเผยพระวจนะนั้นก็ไม่สมบูรณ์

กดว.12:1-10 มิเรียมและอาโรนได้พูดติโมเสส เหตุหญิงคนคูชที่ท่านได้แต่งงานด้วย เพราะโมเสสได้แต่งงานกับหญิงคนคูชคนหนึ่ง 2 เขาทั้งสองกล่าวว่า "พระเจ้าตรัสทางโมเสสคนเดียวเท่านั้นจริงหรือ พระองค์ไม่ตรัสทางเราบ้างหรือ" พระเจ้าทรงได้ยิน 3 โมเสสเป็นคนถ่อมใจมากยิ่งกว่าคนทั้งปวงที่พื้นแผ่นดิน 4 ทันใดนั้นพระเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนกับมิเรียมว่า "เจ้าทั้งสามจงออกมาที่เต็นท์นัดพบ" เขาทั้งสามก็ออกมา 5 พระเจ้าก็เสด็จลงมาในเสาเมฆ ประทับยืนที่ประตูเต็นท์ ทรงเรียกอาโรนและมิเรียม เขาทั้งสองก็มาข้างหน้า 6 พระองค์ตรัสว่า "จงฟังถ้อยคำของเรา ถ้าจะมีผู้เผยพระวจนะท่ามกลางเจ้าทั้งหลาย เราพระเจ้าจะสำแดงตัวแก่ผู้นั้นเป็นนิมิต เราจะพูดกับเขาทางฝัน 7 สำหรับโมเสสผู้รับใช้ของเราก็ไม่เป็นเช่นนั้น ในประชาชนของเราเขาสัตย์ซื่อ 8 เราพูดกับเขาปากต่อปากอย่างชัดเจนไม่พูดเร้นลับ และเขาเห็นสัณฐานของพระเจ้า ไฉนเจ้าไม่กลัวที่จะพูดติโมเสสผู้รับใช้ของเรา" 9 พระเจ้าทรงกริ้วเขามาก แล้วเสด็จไปเสีย 10 เมื่อเมฆลอยพ้นเต็นท์ไป ดูเถิด มิเรียมก็เป็นโรคเรื้อนขาวดุจหิมะ อาโรนหันไปดูมิเรียม และดูเถิดนางเป็นโรคเรื้อน

แบบอย่างประการที่สอง : แบบอย่างด้านความภักดี (5)

ลนต. 11 : 45 – 47 เพราะเราคือพระเจ้าผู้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์ เพื่อเป็นพระเจ้าของเจ้า เพราะฉะนั้นเจ้าจึงต้องบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์" 46 เหล่านี้เป็นกฎกล่าวถึงเรื่องสัตว์และนก และสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวไปมาในน้ำ และสัตว์ทุกชนิดที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน 47 เพื่อให้สังเกตความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เป็นมลทินและสิ่งที่สะอาด และระหว่างสิ่งที่มีชีวิตรับประทานได้ และสัตว์มีชีวิตที่รับประทานไม่ได้

ดนล. 1 : 8 – 13 แต่ดาเนียลตั้งใจไว้ว่าจะไม่กระทำตัวให้เป็นมลทินด้วยอาหารสูงของพระราชา หรือด้วยเหล้าองุ่นซึ่งพระองค์ดื่ม เพราะฉะนั้นเขาจึงขอหัวหน้าขันทีให้ยอมเขาที่ไม่กระทำตัวให้เป็นมลทิน 9 และพระเจ้าทรงให้หัวหน้าขันทีชอบและสมเพชดาเนียล 10 และหัวหน้าขันทีจึงกล่าวแก่ดาเนียลว่า "ข้าเกรงว่าพระราชาเจ้านายของข้าผู้ทรงกำหนดอาหารและเครื่องดื่มของเจ้า ทอดพระเนตรเห็นว่า พวกเจ้ามีหน้าซูบซีดกว่าบรรดาคนหนุ่มๆอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เจ้าก็จะกระทำให้ศีรษะของข้าเข้าสู่อันตรายเพราะพระราชา" 11 แล้วดาเนียลจึงกล่าวแก่มหาดเล็กผู้ที่หัวหน้าขันทีกำหนดให้ดูแลดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอล และอาซาริยาห์ 12 ว่า "ขอท่านจงทดลองผู้รับใช้ของท่านสักสิบวัน ขอให้เขานำผักมาให้เรากินและน้ำมาให้เราดื่ม 13 แล้วให้ท่านตรวจดูหน้าตาของเราทั้งหลาย เทียบกับหน้าตาของบรรดาอนุชนผู้รับประทานอาหารสูงของพระราชา และเมื่อท่านเห็นอย่างไรแล้วจงกระทำแก่ผู้รับใช้ของท่านอย่างนั้น"

ดนล. 1 : 14 – 16 เขาก็ยอมทำตามคนเหล่านั้นในเรื่องนี้และทดลองเขาอยู่สิบวัน 15 เมื่อครบสิบวันแล้วจึงเห็นว่าบรรดาคนเหล่านั้นรูปร่างหน้าตาดีกว่า และเนื้อหนังเต่งตั่งกว่าบรรดาอนุชนที่รับประทานอาหารสูงของพระราชา 16 ดังนั้นมหาดเล็กจึงนำอาหารสูงส่วนของเขาทั้งหลาย และเหล้าองุ่นซึ่งเขาทั้งหลายควรจะได้ดื่มนั้นไปเสีย และให้ผักแก่เขา

“โภชนาการเปลี่ยนแต่ความภักดีคงเดิม”

แบบอย่างประการที่สาม : แบบอย่างด้านความเชื่อ (6 – 7)

o ดาเนียล หมายถึง พระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษาของข้าพเจ้า เปลี่ยนเป็น เบลเทชัสซาร์ หมายถึง ผู้อารักขาขุมทรัพย์ของพระเบล
o ฮานันยาห์ หมายถึง พระเยโฮวาห์ทรงสำแดงพระเมตตาคุณ เปลี่ยนเป็น ชัครัค หมายถึง ผู้รับความสว่างจากพระอาทิตย์
o มิชาเอล หมายถึง ผู้ที่เป็นอย่างที่พระเจ้าทรงเป็น เปลี่ยนเป็น เมชาค หมายถึง ผู้เป็นเหมือนพระศุกร์
o อาซาริยาห์ หมายถึง พระเยโฮวาห์เป็นผู้ช่วยเหลือ เปลี่ยนเป็น เอเบดเนโก หมายถึง ผู้รับใช้ของพระเนโบ (เนโบเป็นพระแห่งวรรณกรรมและพืชผลของชาวบาบิโลน เป็นโอรสของพระเมโรดัค)

“ชื่อเปลี่ยนแต่ความเชื่อคงเดิม” ความเชื่อของดาเนียลที่มีต่อพระเจ้าไม่เคยผันแปรไปตามวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าตัวเขาและเพื่อนจะได้รับโอกาสในการมีชีวิตความเป็นอยู่ ที่ดีขึ้นเพียงใดก็ตาม อีกทั้งต้องอยู่นสภาพวัฒนธรรมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง พบกับความกดดันในชีวิตอย่างมาก

ผลแห่งการที่ดาเนียล, ฮานันยาห์, มิชาเอล และอาซาริยาห์ ได้ยืนหยัดเพื่อพระเจ้า โดยเป็นแบบอย่างด้านความรัก, ความภักดี และความเชื่อ พระเจ้าได้อวยพระพรเขาทั้งสี่ดังนี้

1. ความรอบรู้และความชำนาญในศาสตร์ต่างๆ (17)
2. ของประทานฝ่ายวิญญาณ (17)
3. ความโปรดปรานจากมนุษย์ (18 – 20)
4. การอวยพรอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง (21)

Morning prayer 2 Aug 09