Sunday, August 2, 2009

ใช้ชีวิตในโลก...แต่ไม่เป็นเชลยโลก โดย อ.พรสัณห์ เตชะโรจนทรัพย์

ใช้ชีวิตในโลก...แต่ไม่เป็นเชลยโลก

ดนล. 1 : 1 – 21

1 ในปีที่สามของรัชกาลเยโฮยาคิมกษัตริย์ของยูดาห์ เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์ของบาบิโลนเสด็จมายังกรุงเยรูซาเล็ม และทรงล้อมเมืองไว้ 2 และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบเยโฮยาคิมกษัตริย์ของยูดาห์ไว้ในหัตถ์ของพระองค์ท่าน พร้อมทั้งเครื่องใช้บางชิ้นแห่งพระนิเวศของพระเจ้า และพระองค์ท่านก็นำของเหล่านั้นมายังแผ่นดินชินาร์มายังนิเวศแห่งพระของพระองค์ท่าน และทรงบรรจุเครื่องใช้เหล่านั้นไว้ในคลังของพระของพระองค์ท่าน 3 แล้วกษัตริย์นั้นก็ทรงบัญชาให้อัชเปนัสหัวหน้าขันทีของพระองค์ท่าน ให้นำคนอิสราเอลบางคน ทั้งเชื้อพระวงศ์และเชื้อสายของขุนนาง 4 พวกหนุ่มๆที่ปราศจากตำหนิ มีรูปร่างงามและเชี่ยวชาญในสรรพปัญญา กอปรด้วยความรู้และเข้าใจในสรรพวิทยา กับสามารถที่จะรับราชการในพระราชวัง และทรงให้สอนวิชาและภาษาของคนเคลเดียให้เขาทั้งหลาย 5 พระราชาทรงให้นำอาหารสูงซึ่งพระราชาเสวย และเหล้าองุ่นซึ่งพระองค์ท่านดื่มให้แก่เขาเหล่านั้นตามกำหนดทุกวัน ทรงให้เขาทั้งหลายรับการเลี้ยงดูอยู่สามปี เมื่อครบกำหนดเวลานั้นแล้วก็ทรงให้เขาเข้ารับราชการ 6 ในบรรดาคนเผ่ายูดาห์นั้นมีดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอล และอาซาริยาห์ 7 และท่านหัวหน้าขันทีจึงตั้งชื่อให้ใหม่ ดาเนียลนั้นให้เรียกว่าเบลเทชัสซาร์ ฮานันยาห์เรียกว่าชัดรัค มิชาเอลเรียกว่าเมชาค และอาซาริยาห์เรียกว่าอาเบดเนโก 8 แต่ดาเนียลตั้งใจไว้ว่าจะไม่กระทำตัวให้เป็นมลทินด้วยอาหารสูงของพระราชา หรือด้วยเหล้าองุ่นซึ่งพระองค์ดื่ม เพราะฉะนั้นเขาจึงขอหัวหน้าขันทีให้ยอมเขาที่ไม่กระทำตัวให้เป็นมลทิน 9 และพระเจ้าทรงให้หัวหน้าขันทีชอบและสมเพชดาเนียล 10 และหัวหน้าขันทีจึงกล่าวแก่ดาเนียลว่า "ข้าเกรงว่าพระราชาเจ้านายของข้าผู้ทรงกำหนดอาหารและเครื่องดื่มของเจ้า ทอดพระเนตรเห็นว่า พวกเจ้ามีหน้าซูบซีดกว่าบรรดาคนหนุ่มๆอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เจ้าก็จะกระทำให้ศีรษะของข้าเข้าสู่อันตรายเพราะพระราชา" 11 แล้วดาเนียลจึงกล่าวแก่มหาดเล็กผู้ที่หัวหน้าขันทีกำหนดให้ดูแลดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอล และอาซาริยาห์ 12 ว่า "ขอท่านจงทดลองผู้รับใช้ของท่านสักสิบวัน ขอให้เขานำผักมาให้เรากินและน้ำมาให้เราดื่ม 13 แล้วให้ท่านตรวจดูหน้าตาของเราทั้งหลาย เทียบกับหน้าตาของบรรดาอนุชนผู้รับประทานอาหารสูงของพระราชา และเมื่อท่านเห็นอย่างไรแล้วจงกระทำแก่ผู้รับใช้ของท่านอย่างนั้น" 14 เขาก็ยอมทำตามคนเหล่านั้นในเรื่องนี้และทดลองเขาอยู่สิบวัน 15 เมื่อครบสิบวันแล้วจึงเห็นว่าบรรดาคนเหล่านั้นรูปร่างหน้าตาดีกว่า และเนื้อหนังเต่งตั่งกว่าบรรดาอนุชนที่รับประทานอาหารสูงของพระราชา 16 ดังนั้นมหาดเล็กจึงนำอาหารสูงส่วนของเขาทั้งหลาย และเหล้าองุ่นซึ่งเขาทั้งหลายควรจะได้ดื่มนั้นไปเสีย และให้ผักแก่เขา 17 ฝ่ายอนุชนทั้งสี่คนนี้ พระเจ้าประทานสรรพวิทยา และความชำนาญในเรื่องวิชาทั้งปวงและปัญญา และดาเนียลเข้าใจในนิมิตและความฝันทุกประการ 18 พอสิ้นกำหนดเวลาที่พระราชาทรงบัญชาให้นำเขาทั้งหลายเข้าเฝ้า หัวหน้าขันทีจึงนำเขาทั้งหลายเข้ามาเฝ้าเนบูคัดเนสซาร์ 19 และพระราชาก็ทรงสัมภาษณ์เขา ในบรรดาอนุชนเหล่านั้นไม่พบสักคนหนึ่งที่เหมือนดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอลและอาซาริยาห์ เพราะฉะนั้นเขาจึงได้เข้ารับราชการ 20 ในบรรดาเรื่องราวอันเกี่ยวกับปัญญาและความรอบรู้ ซึ่งพระราชาตรัสถามเขาทั้งหลาย ทรงเห็นว่าเขาทั้งหลายดีกว่าพวกโหร และพวกหมอดู ซึ่งอยู่ในอาณาจักรทั้งสิ้นของพระองค์สิบเท่า 21 และดาเนียลก็ได้รับราชการเรื่อยมาจนต้นรัชกาลพระราชาไซรัส

แบบอย่างประการที่หนึ่ง : แบบอย่างด้านความรัก (1 – 4)

“ความรู้เปลี่ยนแต่ความรักคงเดิม” ความรักของดาเนียลที่มีต่อพระเจ้าไม่เคยเปลี่ยนแปลง แม้ว่าตัวเขาและเพื่อนจะได้รับโอกาสในการศึกษา ที่สูงเพียงใดก็ตาม

ปฐก. 14 : 1 – 9 ในสมัยอัมราเฟลกษัตริย์เมืองชินาร์ อารีโอคกษัตริย์เมืองเอลลาสาร์ เคโดร์ลาโอเมอร์กษัตริย์เมืองเอลาม และทิดาลกษัตริย์เมืองโกยิม 2 กษัตริย์เหล่านี้ทำสงครามรบสู้กับเบ-รากษัตริย์เมืองโสโดม กับบิรชากษัตริย์เมืองโกโมราห์ กับชินาบกษัตริย์เมืองอัดมาห์ กับเชเมเบอร์กษัตริย์เมืองเศโบยิม และกับกษัตริย์เมืองเบ-ลา (คือโศอาร์) 3 กษัตริย์เมืองเหล่านี้รวมทัพกันณที่ราบสิดดิม (คือทะเลเกลือ) 4 กษัตริย์เหล่านี้ยอมขึ้นแก่กษัตริย์เคโดร์ลาโอเมอร์สิบสองปี แต่ในปีที่สิบสามก็กบฏ 5 ในปีที่สิบสี่ เคโดร์ลาโอเมอร์กับกษัตริย์ที่รวมอยู่กับท่านนั้น ก็ยกมารบชนะคนเรฟาอิมที่เมืองอัชทาโรทคารนาอิม กับคนศูซิมที่เมืองฮามกับคนเอมิมที่เมืองชาเวห์-คีริยาธาอิม 6 ชาวโฮรีที่ภูเขาเสอีร์ซึ่งเป็นของตน จนถึงเมืองเอลปารานใกล้ถิ่นทุรกันดาร 7 แล้วกลับมาถึงเมืองเอนมิสปัท (คือคาเดช) รบชนะหมด เมืองของคนอามาเลขและทั้งคนอาโมไรต์ที่ตั้งอยู่ณฮาซาโซนทามาร์ 8 แล้วกษัตริย์เมืองโสโดม กษัตริย์เมืองโกโมราห์ กษัตริย์เมืองอัดมาห์ กษัตริย์เมืองเศโบยิมและกษัตริย์เมืองเบ-ลา (คือ โศอาร์) ก็ออกไปในที่ราบสิดดิม 9 ปะทะกับเคโดร์ลาโอเมอร์กษัตริย์เมืองเอลาม ทิดาลกษัตริย์เมืองโกยิม อัมราเฟลกษัตริย์เมืองชินาร์ และอารีโอคกษัตริย์เมืองเอลลาสาร์ กษัตริย์สี่องค์ต่อสู้กับห้าองค์

อสย. 11 : 11 ในวันนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงยื่นพระหัตถ์ของพระองค์ออกไปเป็นครั้งที่สอง เพื่อจะได้ส่วนชนชาติของพระองค์ที่เหลืออยู่คืนมา เป็นคนเหลือจากอัสซีเรีย จากอียิปต์ จากปัทโรส จากเอธิโอเปีย จากเอลาม จากชินาร์ จากฮามัท และแผ่นดินชายทะเล

ยรม. 51 : 29 แผ่นดินที่สะเทือนสะท้าน และบิดตัวด้วยความเจ็บ เพราะบรรดาพระประสงค์ของพระเจ้าต่อบาบิโลนก็ตั้งมั่นอยู่ ที่จะกระทำให้แผ่นดินบาบิโลนเป็นที่ร้างเปล่า ปราศจากคนอาศัย

1 คร.8:1 เรื่องของที่เขาบูชาแก่รูปเคารพนั้น เราทั้งหลายทราบแล้วว่า "เราทุกคนต่างก็มีความรู้" ความรู้นั้นทำให้ลำพอง แต่ความรักเสริมสร้างขึ้น

1 คร. 13 : 1 – 9 แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆ ได้ เป็นภาษามนุษย์ก็ดี เป็นภาษาทูตสวรรค์ก็ดี แต่ไม่มีความรักข้าพเจ้าเป็นเหมือนฆ้องหรือฉาบที่กำลังส่งเสียง 2 แม้ข้าพเจ้าจะเผยพระวจนะได้ และเข้าใจในความล้ำลึกทั้งปวงและมีความรู้ทั้งสิ้น และมีความเชื่อมากยิ่งที่สุดพอจะยกภูเขาไปได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย 3 แม้ข้าพเจ้าจะสละของสารพัดหรือยอมให้เอาตัวข้าพเจ้าไปเผาไฟเสีย แต่ไม่มีความรัก จะหาเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าไม่ 4 ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว 5 ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด 6 ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ 7 ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง 8 ความรักไม่มีวันสูญสิ้น แม้การเผยพระวจนะก็จะเสื่อมสูญไป แม้การพูดภาษาแปลกๆนั้นก็จะมีเวลาเลิกกัน แม้วิชาความรู้ก็จะเสื่อมสูญไป 9 เพราะความรู้ของเรานั้นไม่สมบูรณ์ และการเผยพระวจนะนั้นก็ไม่สมบูรณ์

กดว.12:1-10 มิเรียมและอาโรนได้พูดติโมเสส เหตุหญิงคนคูชที่ท่านได้แต่งงานด้วย เพราะโมเสสได้แต่งงานกับหญิงคนคูชคนหนึ่ง 2 เขาทั้งสองกล่าวว่า "พระเจ้าตรัสทางโมเสสคนเดียวเท่านั้นจริงหรือ พระองค์ไม่ตรัสทางเราบ้างหรือ" พระเจ้าทรงได้ยิน 3 โมเสสเป็นคนถ่อมใจมากยิ่งกว่าคนทั้งปวงที่พื้นแผ่นดิน 4 ทันใดนั้นพระเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนกับมิเรียมว่า "เจ้าทั้งสามจงออกมาที่เต็นท์นัดพบ" เขาทั้งสามก็ออกมา 5 พระเจ้าก็เสด็จลงมาในเสาเมฆ ประทับยืนที่ประตูเต็นท์ ทรงเรียกอาโรนและมิเรียม เขาทั้งสองก็มาข้างหน้า 6 พระองค์ตรัสว่า "จงฟังถ้อยคำของเรา ถ้าจะมีผู้เผยพระวจนะท่ามกลางเจ้าทั้งหลาย เราพระเจ้าจะสำแดงตัวแก่ผู้นั้นเป็นนิมิต เราจะพูดกับเขาทางฝัน 7 สำหรับโมเสสผู้รับใช้ของเราก็ไม่เป็นเช่นนั้น ในประชาชนของเราเขาสัตย์ซื่อ 8 เราพูดกับเขาปากต่อปากอย่างชัดเจนไม่พูดเร้นลับ และเขาเห็นสัณฐานของพระเจ้า ไฉนเจ้าไม่กลัวที่จะพูดติโมเสสผู้รับใช้ของเรา" 9 พระเจ้าทรงกริ้วเขามาก แล้วเสด็จไปเสีย 10 เมื่อเมฆลอยพ้นเต็นท์ไป ดูเถิด มิเรียมก็เป็นโรคเรื้อนขาวดุจหิมะ อาโรนหันไปดูมิเรียม และดูเถิดนางเป็นโรคเรื้อน

แบบอย่างประการที่สอง : แบบอย่างด้านความภักดี (5)

ลนต. 11 : 45 – 47 เพราะเราคือพระเจ้าผู้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์ เพื่อเป็นพระเจ้าของเจ้า เพราะฉะนั้นเจ้าจึงต้องบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์" 46 เหล่านี้เป็นกฎกล่าวถึงเรื่องสัตว์และนก และสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวไปมาในน้ำ และสัตว์ทุกชนิดที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน 47 เพื่อให้สังเกตความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เป็นมลทินและสิ่งที่สะอาด และระหว่างสิ่งที่มีชีวิตรับประทานได้ และสัตว์มีชีวิตที่รับประทานไม่ได้

ดนล. 1 : 8 – 13 แต่ดาเนียลตั้งใจไว้ว่าจะไม่กระทำตัวให้เป็นมลทินด้วยอาหารสูงของพระราชา หรือด้วยเหล้าองุ่นซึ่งพระองค์ดื่ม เพราะฉะนั้นเขาจึงขอหัวหน้าขันทีให้ยอมเขาที่ไม่กระทำตัวให้เป็นมลทิน 9 และพระเจ้าทรงให้หัวหน้าขันทีชอบและสมเพชดาเนียล 10 และหัวหน้าขันทีจึงกล่าวแก่ดาเนียลว่า "ข้าเกรงว่าพระราชาเจ้านายของข้าผู้ทรงกำหนดอาหารและเครื่องดื่มของเจ้า ทอดพระเนตรเห็นว่า พวกเจ้ามีหน้าซูบซีดกว่าบรรดาคนหนุ่มๆอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เจ้าก็จะกระทำให้ศีรษะของข้าเข้าสู่อันตรายเพราะพระราชา" 11 แล้วดาเนียลจึงกล่าวแก่มหาดเล็กผู้ที่หัวหน้าขันทีกำหนดให้ดูแลดาเนียล ฮานันยาห์ มิชาเอล และอาซาริยาห์ 12 ว่า "ขอท่านจงทดลองผู้รับใช้ของท่านสักสิบวัน ขอให้เขานำผักมาให้เรากินและน้ำมาให้เราดื่ม 13 แล้วให้ท่านตรวจดูหน้าตาของเราทั้งหลาย เทียบกับหน้าตาของบรรดาอนุชนผู้รับประทานอาหารสูงของพระราชา และเมื่อท่านเห็นอย่างไรแล้วจงกระทำแก่ผู้รับใช้ของท่านอย่างนั้น"

ดนล. 1 : 14 – 16 เขาก็ยอมทำตามคนเหล่านั้นในเรื่องนี้และทดลองเขาอยู่สิบวัน 15 เมื่อครบสิบวันแล้วจึงเห็นว่าบรรดาคนเหล่านั้นรูปร่างหน้าตาดีกว่า และเนื้อหนังเต่งตั่งกว่าบรรดาอนุชนที่รับประทานอาหารสูงของพระราชา 16 ดังนั้นมหาดเล็กจึงนำอาหารสูงส่วนของเขาทั้งหลาย และเหล้าองุ่นซึ่งเขาทั้งหลายควรจะได้ดื่มนั้นไปเสีย และให้ผักแก่เขา

“โภชนาการเปลี่ยนแต่ความภักดีคงเดิม”

แบบอย่างประการที่สาม : แบบอย่างด้านความเชื่อ (6 – 7)

o ดาเนียล หมายถึง พระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษาของข้าพเจ้า เปลี่ยนเป็น เบลเทชัสซาร์ หมายถึง ผู้อารักขาขุมทรัพย์ของพระเบล
o ฮานันยาห์ หมายถึง พระเยโฮวาห์ทรงสำแดงพระเมตตาคุณ เปลี่ยนเป็น ชัครัค หมายถึง ผู้รับความสว่างจากพระอาทิตย์
o มิชาเอล หมายถึง ผู้ที่เป็นอย่างที่พระเจ้าทรงเป็น เปลี่ยนเป็น เมชาค หมายถึง ผู้เป็นเหมือนพระศุกร์
o อาซาริยาห์ หมายถึง พระเยโฮวาห์เป็นผู้ช่วยเหลือ เปลี่ยนเป็น เอเบดเนโก หมายถึง ผู้รับใช้ของพระเนโบ (เนโบเป็นพระแห่งวรรณกรรมและพืชผลของชาวบาบิโลน เป็นโอรสของพระเมโรดัค)

“ชื่อเปลี่ยนแต่ความเชื่อคงเดิม” ความเชื่อของดาเนียลที่มีต่อพระเจ้าไม่เคยผันแปรไปตามวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าตัวเขาและเพื่อนจะได้รับโอกาสในการมีชีวิตความเป็นอยู่ ที่ดีขึ้นเพียงใดก็ตาม อีกทั้งต้องอยู่นสภาพวัฒนธรรมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง พบกับความกดดันในชีวิตอย่างมาก

ผลแห่งการที่ดาเนียล, ฮานันยาห์, มิชาเอล และอาซาริยาห์ ได้ยืนหยัดเพื่อพระเจ้า โดยเป็นแบบอย่างด้านความรัก, ความภักดี และความเชื่อ พระเจ้าได้อวยพระพรเขาทั้งสี่ดังนี้

1. ความรอบรู้และความชำนาญในศาสตร์ต่างๆ (17)
2. ของประทานฝ่ายวิญญาณ (17)
3. ความโปรดปรานจากมนุษย์ (18 – 20)
4. การอวยพรอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง (21)

No comments: